ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งเริ่มตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 27 ก.ค. 2549 เป็นต้นมา ดิฉันได้ไปงานศพเกือบทุกวัน เนื่องจากคุณแม่ของคนในครอบครัวถึงแก่กรรม เป็นความโศกเศร้า, เสียใจของลูกๆ ทุกคน ซึ่งแสดงถึงความรักความผูกพันที่มีต่อท่านไม่เสื่อมคลาย โดยเฉพาะในวันแรกแต่ละคนเห็นหน้ากันไม่ต้องสื่อสารด้วยวาจาเพียงกิริยาหรือภาษากายที่แสดงออกก็เข้าใจความโศกเศร้าได้เป็นอย่างดี
ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวใหญ่ (มากๆ) คุณพ่อ-คุณแม่มีลูก 11 คน ตอนนี้นับถึงหลานและเหลนรวม 4 Generation (พ่อ-แม่, ลูก-เขย-สะใภ้, หลาน และเหลน) รวมทั้งหมด 56 คน แยกย้ายกันอยู่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้มีโอกาสมาพบกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาก็ในงานศพนี้แหล่ะ
ในคืนวันที่สี่ของการทำบุญ เป็นวันที่ลูกๆ เดินทางมาพร้อมกันทั้งหมด (ทั้งที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศ) หลังการสวดศพแล้ว ลูกๆ หลานๆ ได้อยู่ต่อ เพื่อพูดคุยและแนะนำครอบครัวของทั้ง 11 คน ตามลำดับ เพราะเป็นครอบครัวใหญ่จริงๆ ถ้าไม่แนะนำกันเป็นทางการ หลานๆ เจอกันก็จะไม่รู้จักกันอย่างแน่นอน เพราะหลานคนหนึ่งเล่าว่า เล่น net เจอคนนามสกุลเดียวกัน คุยกันทาง net โดยไม่รู้ว่าเป็นญาติกัน จนมาเจอกันตอนมางานศพ "คุณย่า" ถึงรู้ว่าเป็นญาติเราเอง
สิ่งที่ดิฉันคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก คือ ในการแนะนำของแต่ละครอบครัวจะพูดถึงแต่คุณความดีของพี่-น้องที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รวมทั้งช่วยเหลือเรื่องการศึกษาของหลานๆ ด้วย และน้องคนที่ 10 ซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โตที่สุดกล่าวว่า ทุกวันนี้มีความภูมิใจที่ลูกๆ หลานๆ ของคุณพ่อ-คุณแม่ทุกคนมีงานมีการทำที่ดี ไม่มีใครทำเรื่องผิดกฏหมายหรือมีปัญหาเรื่องยาเสพติดเพราะเป็นสิ่งที่ทำให้เสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล
ดิฉันเห็นบรรยากาศของการชื่นชมกันและการสื่อสารให้ลูกๆ หลานๆ รู้ถึงสิ่งที่ไม่ควรกระทำในขณะที่มาเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นเสมือนพันธสัญญาที่บอกให้เด็กๆ ได้ยึดมั่นและนำไปปฏิบัติแต่สิ่งที่ดีสืบต่อไป ทำให้เกิดความรู้สึกประทับใจมากค่ะ
รู้สึกชื่นชมกับครอบครัวตัวอย่างจริงๆค่ะ