เมื่อตอนที่ 2 นั้นได้ชมปราสาทสมโบร์ไพรกุก ซึ่งเป็นปราสาทโบราณยุคแรกๆ ที่จังหวัดกำปงธม ตอนนี้เรามาอยู่ที่จังหวัดเสียมเรียบ ซึ่งเป็นเมืองที่มีปราสาทหินมากที่สุด จึงเป็นเมืองที่ชาวต่างชาติมาเยี่ยมมากที่สุด รายได้ส่วนใหญ่ของประเทศก็มาจากการท่องเที่ยวที่เมืองนี้ เศรษฐกิจจึงคึกคักเป็นพิเศษ มีโรงแรมมากมายหลายระดับทั้งของชาวกัมพูชาและต่างชาติ
เช้าวันนี้จึงรู้สึกตื่นเต้นดีใจเพราะจะไปชมปราสาทหินอันยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นโปรแกรม high light ของ trip นี้ทานอาหารเช้าที่โรงแรมเป็นบุฟเฟ่ต์ที่ได้มาตรฐานพอสมควร มีทั้งข้าว อาหารเช้าแบบอเมริกัน ผลไม้ อิ่มหนำสำราญดี
การไปชมโบราณสถานในเมืองเสียมเรียบนั้นเราต้องซื้อบัตรแบบเหมา คือ ชมเป็นเวลา 1 วันหรือมากกว่านั้น จะเข้าชมกี่แห่งก็ได้ กี่ครั้งก็ได้ในจำนวนวันตามบัตรนั้นๆ สำหรับทัวร์ทั่วไปก็ชม 1 วัน ราคา 20 ยู.เอส. ดอลล่าร์ บัตรจะหุ้มด้วยซองพลาสติก มีเชือกห้อยต้องเอาคล้องคอไว้ตลอด เมื่อไปโบราณสถานใด เจ้าหน้าที่ก็จะมาตรวจและตัดมุมบัตรออกไป ไปอีกแห่งก็ตัดมุมอื่นออกไปอีกเรื่อยๆ
โบราณสถานแห่งแรกที่จะไปชมคือ นครธม ห่างจากตัวเมืองไม่ไกลนัก ไกด์ประจำทัวร์มีหัวหน้าไกด์คนไทย และไกด์ชาวกัมพูชา ทางรัฐบาลบังคับให้ต้องใช้ไกด์ชาวกัมพูชา ยกเว้นนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีซึ่งมีมากเป็นอันดับหนึ่ง เนื่องจากไกด์ชาวกัมพูชายังพูดเกาหลีไม่ได้ รัฐบาลกำลังเร่งรีบอบรมภาษาเกาหลีอยู่ ไกด์ของคณะเป็นหญิงกัมพูชาเชื้อสายจีน เธอชื่อ สรัยเนียง ( สรัย = ผู้หญิง,เนียง = นาง ) เคยมาอบรมในไทย เธอบอกว่ามีชื่อไทยให้เรียกเธอว่า มะลิ พูดภาษาไทยได้ดีพอสมควร เธอเป็นไกด์ที่ติดอันดับ top five สำหรับทัวร์คนไทย
คุณมะลิเธอบอกว่าคนกัมพูชาไม่ชอบให้เรียกคนและประเทศของเขาว่าเขมร เพราะเป็นเสียงที่คนไทยเรียกเพี้ยนไปเอง ของเขาคือ ขแมร์ ( Khmer ) แต่อยากให้เรียกว่า กัมพูเจีย มากกว่า สำหรับบันทึกนี้ก็ขอใช้แบบไทยๆ ตามภาษาของเราต่อไปก็แล้วกัน
กษัตริย์เขมรสมัยโบราณนั้นดั้งเดิมนับถือศาสนาฮินดูตามอิทธิพลที่ไปจากอินเดีย และประชาชนก็ต้องนับถือตามด้วย ศาสนาฮินดูนั้นมีพระผู้เป็นเจ้าอยู่ 3 องค์ คือ พระศิวะ ( หรือพระอิศวร ) พระพรหม และพระวิษณุ ( หรือพระนารายณ์ ) โดยส่วนใหญ่นับถือพระศิวะเป็นใหญ่ ส่วนน้อยนับถือพระวิษณุเป็นใหญ่ เพราะตามความเชื่อทั้งสององค์นี้ให้โทษให้คุณต่อมนุษย์ได้ และกษัตริย์เขมรนั้นเป็นสมมุติเทพ ซึ่งทางเราก็เอามาใช้ภายหลังในสมัยอยุธยา
พระนามกษัตริย์เขมรสมัยโบราณก็ใช้ซ้ำๆ กันโดยเรียงลำดับตามตัวเลขต่อท้าย ตามแต่พระองค์ใดใช้ก่อน สลับสับเปลี่ยนแข่งกันครองราชย์กันหลายราชวงศ์ กษัตริย์ทุกพระองค์ต้องสร้างปราสาท
ยิ่งกษัตริย์พระองค์ใดสร้างปราสาทได้ใหญ่และจำนวนมากยิ่งแสดงถึงบุญญาบารมี
นครธม นั้นภาษาเขมรเรียกว่า อังกอร์ ธม ( Angkor Thom ) อังกอร์ แปลว่าเมือง ธม แปลว่าใหญ่ ก็คือเมืองใหญ่นั่นเอง สมัยโบราณเคยเป็นเมืองหลวง ประกอบ ด้วยปราสาทหินหลายแห่ง พระราชวัง วัด บ้านเรือนราษฎร แต่เมื่อหมดยุครุ่งเรือง ก็ถูกปกคลุมด้วยป่าเหมือนกันทุกปราสาท ภายหลังถูกค้นพบและบูรณะเฉพาะโบราณสถานบริเวณรอบๆ ส่วนใหญ่จึงยังเป็นป่า ปราสาทหินเหล่านี้ ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย แต่เป็น ศาสนสถาน สร้างด้วยหินจึงยังคงอยู่ให้เห็นได้บ้างในปัจจุบัน
เมืองโบราณนครธมนั้นมีทางเข้าหลายทาง ที่นิยมเข้ากันนั้นคือทางด้านทิศใต้ เป็นสะพานหิน สองข้างเป็นหินสลักรูปเทพและอสูรเรียงเป็นแถว กำลังฉุดดึงตัวพญานาค คนละข้างเพื่อกวนเกษียรสมุทร โดยเทพอยู่ทางซ้าย ส่วนอสูรอยู่ทางขวา ทางเข้าทิศใต้นี้ยังมีรูปสลักหลงเหลืออยู่สมบูรณ์กว่าทางทิศอื่นๆ ซึ่งถูกตัดขโมยไปมากโดยเฉพาะส่วนศีรษะ
เมื่อเข้าเขตเมืองโบราณแล้วก็ไปชมปราสาทที่ใหญ่ที่สุดของนครธม คือ ปราสาทบายน ซึ่งถ้าใครไม่ได้มาชมปราสาทนี้ก็เหมือนไม่ได้มาถึงนครธม สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ( ค.ศ. 1181-1220 ) เป็นช่วงที่เจริญรุ่งเรืองมาก แลเห็นตัวปราสาทใหญ่โต มีระเบียงรอบปราสาท สลักหินเป็นรูปชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนครธมในสมัยนั้น ทั้งกิจการงาน การทำมาหากิน พิธีกรรม งานเลี้ยง กีฬา ฯลฯ รวมทั้งสงครามในทะเลสาปน้ำจืดกับกองทัพจาม รบชนะขับไล่พวกจามออกไปได้ สลักรายละเอียดมากมาย น่าทึ่งมาก ! ดูกันไม่หวาดไม่ไหว
ปราสาทบายนนี้ไม่ใช่เทวสถาน แต่เป็นวัดหลวงเนื่องจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เปลี่ยนจากนับถือศาสนาฮินดูเป็นศาสนาพุทธ มียอดปราสาทมากมาย บนยอดเป็นรูปพระพรหมสี่หน้า โดยราษฎรจะดูเป็นพรหมพักตร์ ตามความเชื่อของศาสนาฮินดู หรือดูเป็นพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์ ตามศาสนาพุทธนิกายมหายาน หรือจะดูเป็นพระพักตร์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เองก็ได้ ถ้าเป็นสมัยปัจจุบันก็ต้องถือว่าพระองค์ท่านทรงดำเนินนโยบายแบบสมานฉันท์
ปราสาทบายนนี้ราษฎรยินดีร่วมแรงสร้างด้วยศรัทธาต่อศาสนาและกษัตริย์ ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงสร้างปราสาทไว้มากที่สุด ถือว่าเป็นกษัตริย์เขมรที่ใช้หินเปลืองที่สุด !
ยอดปราสาทรูปพระพรหมสี่หน้านี้มีมากมายทั้งชั้นนอกชั้นใน มีรอยยิ้มอันสงบเราดูแล้วรู้สึกถึงอุดมคติทางศาสนา เรียกกันว่า รอยยิ้มแบบบายน ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์เฉพาะอันโด่งดังของปราสาทนี้ ผู้คนจึงพากันถ่ายรูปและ พยายามยิ้มให้เหมือนรูปสลักหินด้านหลังกันใหญ่!
ภายในทางเดินปราสาทมีรูปสลักนางอัปสร หรือที่เราเรียกว่านางฟ้า เขมรเรียกนางอัปสรา มีความสวยงามแต่ละปราสาทไม่เหมือนกัน ใช้เวลาเดินชมแบบไม่พอประมาณก็เกือบ 2 ชั่วโมง โดยรวมเวลารอและแย่งวิวกันถ่ายรูปด้วยแล้ว ปราสาทบางส่วนอยู่ระหว่างการบูรณะ แต่เท่าที่เห็นก็สวยงาม สูงส่งด้วยศิลปะและวัฒนธรรม ประทับใจเราเป็นอย่างยิ่ง นักท่องเที่ยวจึงมากันตรึมสารพัดชาติจากทั่วโลก เดินกันให้ว่อนเต็มปราสาทไปหมด !
เชิญชมภาพให้ซาบซึ้ง......
ปราสาทบายน
ยิ้มแบบบายน
เอื้อเฟื้อภาพโดยคุณ Black Willy...thanks a lot!
ภายในปราสาทบายน
นางอัปสราที่ปราสาทบายน
การรบทางน้ำกับพวกจาม
ไกด์ชาวกัมพูชาที่ระเบียงปราสาทบายน
ไม่มีความเห็น