ก็พบนักเรียนหลายคนครับที่อยากเรียนสาขาวิชาอื่น
แต่เนื่องจาก คุณพ่อหมอ และคุณแม่หมอ
ท่านเกรงว่าจะ "ไร้อนาคต" ก็ เลย ต้องเรียน หมอ
ตามที่ท่านๆ ปรารถนา
เรียน อ.พิชชา เป็นครูที่ดี ความดี เกิดแก่ประเทศชาติ ครับ ให้กำลังใจ น้องน้อง ที่ต้องการเป็นครูที่ดีของเด็กๆ
เรียน ท่านอาจารย์แฟรงค์ หลายครั้ง ที่ JJ แอบมองหน้า ลูกอาจารย์หมอหลายๆท่าน ดูแล้วรู้สึกแปลกๆครับ ในใจลึกๆ คงจะ.....
โอ้..ชีวิตลิขิตเองไม่ได้เพราะติดบ่วงบุพการี อิๆๆๆ
โชคดีที่ไม่เคยลิขิตชีวิตลูก จนเขาเรียนจบทำงานตามใจชอบเลยรอดพ้นคำกล่าวหาที่ว่า....เป็นเพราะแม่นั่นแหละ
เรียน krugui แม่และพ่อ รวมทั้งแม่หมอพ่อหมอ ทุกท่าน หวังดีครับ
ขอบคุณค่ะ..คิดถึงอดีตของตัวเองเหมือนอย่างเรื่องนี้เลยค่ะ..พ่อ-แม่ อยากให้เรียนหมอ แต่ตัวเองกลัวเลือดและ "ผี"..โชคดีที่สอบติดแขนงอื่นที่ทำให้มีความสุขจนถึงวันนี้ค่ะ..
ปัญหาคือประสบการณ์ของเด็กก่อนที่จะได้เลือกว่าจะ "เป็น" อะไรนั้นจำกัดมาก เพราะความที่ไม่ค่อยได้เจอะเจอจริงๆว่า "ชีวิตในอาชีพ" แต่ละอาชีพนั้นเป็นอย่างไร
หมอที่เด็กได้เจอตามคลินิก หรือแม้แต่หมอ specialist ที่ นศพ.ได้เจอตอนเรียนแพทย์ ก็ไม่ได้เห็น "ชีิวิตจริง"ของหมอ หรือของ specialist ที่แท้จริง เพราะเราติด classroom มากไป จนอาจจะลืมไปว่า การเรียนในบริบทจริง จึงจะสื่อและทำให้ได้สัมผัส นำไปสู่การตัดสินใจจริงๆว่าอยากจะเป็น อยากจะทำหรือไม่
หลักสูตรที่เราเรียนมาแต่ต้น "ตัดบริบท" ทิ้งไปเยอะ
เราไม่ได้เห็นชีวิตครูที่ต้องออกข้อสอบ ออกแบบบทเรียน ตรวจข้อสอบ ตัดเกรด เห็นแต่อีกด้านหนึ่ง นี่ขนาดเป็นอาชีพที่ใกล้ชิดเด็กมากที่สุดแล้วนะ ส่วนอาชีพอื่นๆก็ยิ่งผิวเผินมากย่ิงขึ้น
ผมก็มีแต่เห็นใจนักเรียนแพทย์ที่ค้นพบว่างานคลิินิก (ปีสี่) นั้น ตนเองไม่ชอบเลย ไม่ชอบฟังเรื่องคนไข้ เรื่องความทุกข์ เรื่องการไร้ทางออก เรื่องที่ตนเองไม่เห็นทุกข์แล้วคนอื่นทุกข์ เรื่องที่ต้องฟังมากกว่าพูด ฯลฯ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ขาดความกล้า หรือต้นทุนอื่นๆเพียงพอที่จะเปลี่ยนไปทำอะไรที่ชอบจริงๆ ก็ทนเรียน และปรับเปลี่ยนงานที่ทำไปให้ใกล้เคียงกับสิ่งที่ตนเองพอทนได้แทน
เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา การเรียนแทนที่จะเปลี่ยนคน กลับกลายเป็นคนเปลี่ยนวิชาชีพแทน
น่ากลัว
เรียน ท่านพี่นงนาท ติดตามเรื่องราวพี่ทาง Blog น่าชื่นชมครับ นี่แหละ ชีวิต จริง
เรียน ท่านอาจารย์ Phoenix เราติดสอนหนังสือ มากกว่า สอน ฅ ฅน ครับ