การเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน
การเขียนรายงานการวิจัยเป็นขั้นสุดท้ายของการทำวิจัย หลังจากที่ครูทำวิจัยในชั้นเรียนเสร็จแล้ว ครูควรเขียนรายงานการวิจัย เป็นการเขียนรายงานงานตั้งแต่เริ่มต้นวิเคราะห์และสำรวจปัญหา การพัฒนารูปแบบการทดลองใช้รูปแบบเพื่อแก้ปัญหาจนกระทั่งถึงการวิเคราะห์ผล สรุปผล อภิปราย และข้อเสนอแนะ การเขียนรายงานการวิจัยเป็นการเสนอสิ่งที่ได้ศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบให้ผู้อื่นทราบ
การเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียนระดับปฐมวัย
รูปแบบการนำเสนอรายงานผลการวิจัยในชั้นเรียนระดับปฐมวัยสามารถจัดทำได้ 2 แบบ คือ
1. รูปแบบการเขียนรายงานผลการวิจัยแบบไม่เป็นทางการ สำหรับโครงสร้างจะเหมือนรายงานการวิจัยเชิงวิชาการแต่มักนำเสนออย่างสั้นๆ เช่น วิจัยหน้าเดียวหรือ 1-2 หน้า
2. รูปแบบการเขียนรายงานการวิจัยเชิงวิชาการหรือแบบเป็นทางการ
ส่วนใหญ่จะมีการนำเสนอในรูปแบบการวิจัยทั่วไปที่มีองค์ประกอบหรือหัวข้อที่เป็นลำดับแบบแผนและรูปเล่มที่สมบูรณ์
1. การเขียนรายงานผลการวิจัยแบบไม่เป็นทางการ (แบบง่าย)
แบบที่ 1 การเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียนหน้าเดียว
ส่วนประกอบของรายงานการวิจัยหน้าเดียว คือ มีสามย่อหน้า
1. ชื่อเรื่อง ชื่อผู้วิจัย สถานที่ ปีที่วิจัย
2.ย่อหน้าแรก
-ปัญหาของชั้นเรียน เป้าหมายการแก้ไข นวัตกรรมที่ใช้ เวลาที่ใช้
3.ย่อหน้าที่สอง
-วิธีการใช้นวัตกรรมในชั้นเรียนและผลที่เกิดขึ้น
4. ย่อหน้าที่สาม
- ผลการตรวจสอบเป้าหมาย
ตัวอย่างรายงานผลการวิจัยหน้าเดียว
ชื่อเรื่อง การใช้ข้อตกลงของเราเพื่อเสริมสร้างระเบียบวินัยการเล่นตามมุมของนักเรียนชั้นอนุบาล 1-2โรงเรียนบ้านยางครก อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่
ผู้วิจัย นายเทอดศักดิ์ จันเสวี
สถานที่วิจัย โรงเรียนบ้านยางครก อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่
ปีที่วิจัย พ.ศ. 2550
----------------------------------------------------------------------------------------------
ผู้วิจัยเป็นครูผู้สอนระดับชั้นอนุบาล 1-2 โรงเรียนบ้านยางครก อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงใหม่ เขต 5 ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2550 พบว่า นักเรียนระดับชั้นอนุบาล 1 – 2 ส่วนใหญ่หลังจากเล่นตามมุมประสบการณ์แล้วไม่ช่วยกันเก็บของเล่นเข้าที่ให้เป็นระเบียบ ทั้งนี้เรื่องของระเบียบวินัย หรือความรับผิดชอบนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งที่ต้องปลูกฝัง เสริมสร้างให้เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปฐมวัย เป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงทางคุณธรรมจริยธรรมให้เด็กเพื่อให้เด็กเติบขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ อยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข
ผู้วิจัยจึงได้ทำวิจัยในชั้นเรียนเรื่อง การใช้ข้อตกลงของเราเพื่อฝึกระเบียบวินัยการเล่นตามมุมของเด็กปฐมวัย มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างระเบียบวินัยการเล่นตามมุมของนักเรียนชั้นอนุบาล 1-2 ผู้วิจัยดำเนินการโดยหลังจากพบปัญหาแล้ว ผู้วิจัยจึงร่วมสร้างข้อตกลงของเราในชั้นเรียนกับเด็กจำนวน 4 ข้อ และในข้อที่ 4 กำหนดว่าเล่นของเล่นแล้วช่วยกันเก็บ แล้วเขียนข้อตกลงติดไว้บนผนังห้องและให้เด็กท่องทุกวันช่วงกิจกรรมสนทนาข่าวเหตุการณ์ตอนเช้า และจะย้ำทุกครั้งก่อนให้เด็กเล่นตามมุมปะสบการณ์ ในการวิจัยครั้งนี้ใช้รูปแบบการวิจัยปฏิบัติการ ใช้เวลาดำเนินการตลอดภาคเรียนที่ 1/2550 จำนวน 1 ภาคเรียน
ผลการวิจัย พบว่า หลังจากผ่านไปหนึ่งภาคเรียนพฤติกรรมการเล่นตามมุมประสบการณ์ของเด็กมีพัฒนาการดีขึ้น กล่าวคือ เด็กเล่นตามมุมประสบการณ์แล้วช่วยกันเก็บและเก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จึงนับได้ว่าการวิจัยครั้งนี้ประสบความสำเร็จสามารถแก้ปัญหาในชั้นเรียนได้และสามารถนำผลการวิจัย หรือเทคนิควิธีการนี้ไปปรับใช้ในการพัฒนา หรือแก้ปัญหาอื่นๆ ได้ต่อไป
หมายเหตุ วิจัยหน้าเดียวไม่สามารถนำไปเป็นผลงานทางวิชาการได้ แต่หากจะนำไปทำผลงานทางวิชาการเพื่อขอผลงาน หรือเลื่อนวิทยฐานะ ครูปฐมวัยต้องนำผลงานวิจัยหน้าเดียว หลายเรื่องย่อยแต่เป็นปัญหาเดียวกันหรือเรื่องใหญ่เดียวกัน เช่น เรื่องของการแก้ปัญหา หรือพัฒนาระเบียบวินัยของเด็กปฐมวัย ครูอาจแก้ปัญหา หรือพัฒนาระเบียบวินัยของเด็กปฐมวัยในสถานการณ์ เหตุการณ์ที่ต่างๆกัน(เข้าแถวไม่ตรงไม่เป็นระเบียบ เก็บของเล่นไม่เป็นระเบียบไม่ช่วยกันเก็บ วางรองเท้าไม่เป็นระเบียบ ไม่รู้จักเข้าแถวเวลารับของหรือทำกิจกรรมฯ)แล้วนำผลของแต่ละครั้งแต่ละเรื่องมาสังเคราะห์ให้เป็น 1 เล่มใหญ่จึงสามารถนำไปเป็นผลงานทางวิชาการได้
แบบที่ 2 รูปแบบการเขียนรายงานผลการวิจัยแบบไม่เป็นทางการ โครงสร้างจะเหมือนรายงานการวิจัยเชิงวิชาการแต่มักนำเสนออย่างสั้นๆ เป็นการเขียนรายงานที่อิงประสบการณ์ของครูผู้วิจัย และไม่เน้นเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหัวข้อการเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียนอย่างง่ายประกอบด้วยหัวข้อดังต่อไปนี้
1. ชื่อเรื่องการวิจัย การตั้งชื่อเรื่อง อาจเขียนในรูปประโยคหรือข้อความสั้นๆ เฉพาะเจาะจง และเร้าความสนใจควรประกอบด้วย
1.1 ตัวแปร คือ สิ่งที่ต้องการศึกษา
1.2 ประชากร คือกลุ่มเป้าหมายของการวิจัย
1.3 วิธีศึกษา คือ ประเภทของการวิจัย ได้แก่ การวิจัยเชิงสำรวจ
การวิจัยหาความสัมพันธ์ การวิจัยเปรียบเทียบ การวิจัยทดลอง ประดิษฐ์ และพัฒนานวัตกรรม
2. ชื่อผู้วิจัย ระบุชื่อ-นามสกุลผู้วิจัย
3. ความเป็นมาของปัญหา (การสะท้อนความคิดก่อนปฏิบัติการ)
เป็นการมองปัญหาสู่วัตถุประสงค์ เพื่อให้เห็นความเชื่อมโยงของความคิดจากปัญหาการวิจัย จนถึงความสำคัญของปัญหา แบ่งเป็น 5 ระดับ
1. อธิบายสภาพปัจจุบัน
- บอกเหตุผล หลักฐานประกอบ
2. การนำเข้าสู่ปัญหาการวิจัย
- กล่าวถึงปัญหาสภาพกว้างชักนำทำวิจัย
3. ที่มาของปัญหาการวิจัย
- บอกผลวิจัยที่ผ่านมา/นโยบาย
4. ปัญหาการวิจัย
- บอกปัญหาที่แท้จริงที่ต้องการทำวิจัย
5. ความสำคัญของปัญหา
- ระบุความสำคัญ/จำเป็นและผลจะเกิดประโยชน์ต่อการศึกษาควรกระชับ เป็นเหตุผล นำสู่จุดประสงค์การวิจัย ควรใช้ข้อมูล/วิจัย อ้างอิง
4. วัตถุประสงค์ของการวิจัย เป็นการเขียนเพื่อให้ผู้อ่านทราบว่าเราต้องการจะทำวิจัยเพื่อตอบคำถามใด เพื่อแก้ปัญหาอะไร ของใคร ที่ไหน กี่คน วัตถุประสงค์การวิจัยจะต้องสอดรับกับปัญหาการวิจัยและหัวเรื่อง
5. การวางแผนเพื่อปฏิบัติการ ( Planning) ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนของการเตรียมการวางแผนการปฏิบัติเพื่อการแก้ปัญหา โดยดำเนินการดังนี้
5.1 หาเทคนิควิธีการและนวัตกรรมที่ใช้ในการแก้ปัญหาหรือพัฒนาการจัดการเรียนการสอน
5.2 กำหนดวิธีการปฏิบัติ ในประเด็นดังนี้
- จะแก้ปัญหาอะไร กับใคร
- จะแก้ไขเมื่อใด ระยะเวลาที่ใช้ในการแก้ปัญหา
- จะใช้เครื่องมืออะไรในการเก็บรวบรวมข้อมูล
- จะใช้วิธีการในการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไร
6. การปฏิบัติการ (Action)
การลงมือปฏิบัติการวิจัยในชั้นเรียน ขั้นตอนนี้เป็นหัวใจของการทำวิจัยเมื่อได้ทำการวางแผนและเตรียมการปฏิบัติการแก้ปัญหาหรือพัฒนาเรียบร้อยแล้ว ครูต้องลงมือปฏิบัติการรวบรวมข้อมูลการวิจัยโดยใช้เทคนิควิธีการต่างๆ วิธีการเก็บข้อมูลที่สำคัญที่สุดคือ การสังเกต และเก็บข้อมูลในสภาพการจัดการเรียนการสอนปกติ ในขั้นปฏิบัตินี้อาจมีความยืดหยุ่นได้บ้างซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์ต่างๆ ที่ครูผู้ วิจัยอาจพิจารณาได้ตามความเหมาะสม ขณะการปฏิบัติการนั้นจะต้องใช้กระบวนการวิเคราะห์วิจารณ์ประกอบไปด้วย รวมทั้งการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ร่วมวิจัยหรือใช้ข้อมูลอื่นๆ ประกอบเพื่อปรับปรุงตามความเหมาะสมด้วย
7. การสังเกตผลการปฏิบัติการ (Observation) เป็นการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล หรือผลที่ได้จาการปฏิบัติการวิจัย ซึ่งอาจเสนอในรูปตาราง ตารางประกอบความเรียงหรือนำเสนอในรูปของความเรียง
8. สรุปและสะท้อนผลการวิจัย (Reflection) เมื่อครูทำการเก็บรวบรวมข้อมูลในขั้นตอนที่ 7 เรียบร้อยแล้ว จะต้องทำการสรุปพิจารณาองค์ความรู้ที่ค้นพบ เพื่อเป็นการประเมินผลการปฏิบัติงาน หรือผลการวิจัยที่ได้จากการปฏิบัติการในขั้นตอนที่ 6 โดยการวิเคราะห์ วิจารณ์ เพื่อสะท้อนไปสู่การปรับปรุงใหม่ หรือการทำซ้ำเพื่อยืนยันผลการวิจัน
9. ภาคผนวก คือส่วนที่นำมาเพิ่มเติมในตอนท้ายของรายงานการวิจัย มักเป็นตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
2. การเขียนรายงานการวิจัยเชิงวิชาการหรือแบบเป็นทางการ
การเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียนเชิงวิชาการหรือแบบเป็นทางการส่วนใหญ่จะมีการนำเสนอในรูปแบบการวิจัยทั่วไปที่มีองค์ประกอบหรือหัวข้อที่เป็นลำดับแบบแผนและรูปเล่มที่สมบูรณ์ โดยองค์ประกอบของรายงานการวิจัย (แบบเต็มรูปแบบ) ในรายงานการวิจัยมีส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนนำ ส่วนเนื้อเรื่อง และส่วนอ้างอิง ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1. ส่วนนำ เป็นส่วนก่อนเนื้อหาของการวิจัย (ก่อนบทที่ 1) ไม่ต้องใส่เลขหน้า
1.1 ปกนอก ประกอบด้วย ชื่อเรื่อง ชื่อผู้วิจัย ชื่อหน่วยงานที่เป็นเจ้าของผลงานวิจัย
1.2 ปกใน เหมือนปกนอกทุกประการ
1.3 บทคัดย่อ เป็นการสรุปย่องานวิจัยทั้งหมด (ไม่ควรเกิน 1 หน้ากระดาษ) โดยมีหัวข้อสำคัญดังนี้
ก. ชื่อเรื่อง
ข. ชื่อผู้ทำวิจัย
ค. ปีที่ทำวิจัย
ง. จุดประสงค์ของการวิจัย ขั้นตอนการดำเนินการวิจัย และผลการวิจัย
1.4 คำนำ เขียนถึงความเป็นมาของการทำวิจัย (ไม่ใช่ความเป็นมาของปัญหาการวิจัย) การขอบคุณผู้ช่วยเหลือในการทำวิจัย
1.5 สารบัญ เป็นตัวชี้ให้ผู้อ่านทราบว่า หัวข้อสำคัญต่าง ๆ อยู่ในรายงานหน้าใด มักจะแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่
ก. สารบัญเนื้อเรื่อง (ต้องมี)
ข. สารบัญตาราง (ถ้ามีตาราง)
ค. สารบัญภาพประกอบหรือแผนภูมิ (ถ้ามีภาพหรือแผนภูมิ)
2. ส่วนเนื้อเรื่อง ประกอบด้วยบทสำคัญ บทที่ ดังนี้
2.1 บทที่ 1 บทนำ ในบทนำมีหัวข้อที่สำคัญดังนี้
- ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาการวิจัย เป็นการกล่าวถึงสภาพการเรียนการสอนทั่วไป ปัญหาการเรียนการสอนทั่วไป แล้วโยงมาเป็นปัญหาที่จะต้องทำการวิจัย ความจำเป็นที่จะต้องแก้ปัญหา เพื่อแก้ปัญหาการเรียนการสอน เป็นการเขียนจากสภาพกว้าง ๆ แล้วสรุปเป็นปัญหาการวิจัยที่เล็ก
- วัตถุประสงค์การวิจัย เป็นการเขียนเพื่อให้ผู้อ่านทราบว่าเราต้องการจะทำวิจัยเพื่อตอบคำถามใด วัตถุประสงค์การวิจัยจะต้องสอดรับกับปัญหาการวิจัยและหัวเรื่อง
- ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ เป็นการเขียนให้ทราบว่าการวิจัยนี้มีประโยชน์ต่อใคร อย่างไร
- นิยามศัพท์ เป็นการให้ความหมายของตัวแปรต่าง ๆ ที่ใช้ในการวิจัย โดยเขียนให้เป็นนิยามเชิงพฤติกรรม ซึ่งมีตัวชี้วัด เพื่อประโยชน์ในการวัดตัวแปรนั้น
- ขอบเขตของการวิจัย เป็นการบอกให้ทราบว่า การวิจัยนี้มีขอบเขตของประชากรเพียงใดหรือ เป็นการศึกษาเฉพาะรายกรณีเนื้อหาวิชามีมากน้อยเพียงใดระยะเวลานานเพียงใดในการศึกษาทดลอง
- ข้อจำกัดของการวิจัย เป็นการบอกให้ทราบว่าการวิจัยนี้มีตัวแปรใดที่ผู้วิจัยควบคุม และจัดกระทำไม่ได้ เช่น “ในการวิจัยนี้ไม่สามารถจะสุ่มแยกนักเรียนออกจากห้องเรียนมาเข้ากลุ่มทดลองได้ เพราะต้องทำการทดลองตามตารางเรียนปกติ จึงจำเป็นต้องสุ่มเป็นห้องเรียน”
- สมมติฐานการวิจัย เป็นการคาดเดาคำตอบปัญหาการวิจัยที่ผู้วิจัยได้ศึกษามาอย่างรอบคอบจากเอกสารเกี่ยวข้อง
2.2 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เป็นการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และ
งานวิจัยอื่นที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการวิจัย การค้นคว้าเอกสารเป็นการแสดงถึงศักยภาพทางวิชาการของผู้วิจัย ผู้เขียนต้องจัดหัวข้อให้เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน แล้วสรุปในทุกหัวข้อ ทุกประเด็น เพื่อเขียนกรอบความคิดในการวิจัย หลักการและแนวทางของนวัตกรรมที่ใช้แก้ปัญหาหรือทดลอง นอกจากนี้ยังสามารถสรุปเลือกตัวแปรต่าง ๆ ที่ใช้ในการวิจัยได้อย่างเป็นวิชาการ สามารถนิยามตัวแปรและการวัดตัวแปรได้ และที่สำคัญที่สุด สามารถตั้งสมมติฐานการวิจัยได้อย่างเหมาะสม
2.3 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย ควรประกอบด้วย
- ประชากร เป็นการบอกว่าประชากรที่ศึกษาคือคนกลุ่มใด เช่น นักเรียนชั้น ปวช. 3 แผนกวิชาช่างยนต์ในวิทยาลัยเทคนิคตรัง หรือ นักศึกษาชั้น ปวส. 2/1 แผนกวิชาช่างโยธาวิทยาลัยเทคนิคห้วยแก้ว
- กลุ่มตัวอย่าง เป็นการเขียนเพื่อจะบอกว่า กลุ่มตัวอย่างมีจำนวนเท่าใด ได้มาจากประชากรกลุ่มใด
- เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ผู้เขียนต้องเขียนบอกให้ชัดเจนว่า เครื่องมือมีกี่ชุด อะไรบ้าง มีการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมืออย่างไร
- การเก็บรวบรวมข้อมูล (หรือวิธีการทดลองในกรณีทำการวิจัยเชิงทดลอง) ให้เขียนบอกให้ชัดเจนว่ามีวิธีการเก็บข้อมูลอย่างไร หรือมีวิธีการทดลองและวัดผลอย่างไร
- การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ เป็นการเขียนเพื่อบอกให้ทราบว่าในการวิเคราะห์ข้อมูล หรือทดสอบสมมติฐานใช้สถิติใด
2.4 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล เป็นการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากการวิจัย
2.5 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ เป็นการเขียนสรุปรวมการวิจัย
ตั้งแต่บทที่ 1 ถึง 4 มาไว้ด้วยกัน ประกอบด้วยหัวข้อต่อไปนี้
- ความนำ เป็นการเขียนปัญหาการวิจัยอย่างย่อ วัตถุประสงค์การวิจัย วิธีดำเนินการวิจัยอย่างย่อ เขียนเป็นข้อความต่อเนื่องกันได้ไม่จำเป็นต้องแยกเป็นหัวข้อ เป็นการเกริ่นนำก่อนขึ้นหัวข้อก็ได้
- ผลการวิจัยและข้อสรุป เป็นการเขียนผลการวิจัยตามจุดมุ่งหมายทีละข้อ (ไม่ต้องมีตาราง) โดยนำผลจากบทที่ 4 มาสรุปรวม
- อภิปรายผลการวิจัยการอภิปรายผลเป็นการชี้แจงให้ผู้อ่านทราบว่าผลการวิจัยสอดคล้องกับผลการวิจัยของใคร สอดคล้องกับทฤษฎีใด ขัดแย้งกับผลการวิจัยของใคร หรือขัดแย้งกับทฤษฎีใด ผู้วิจัยสามารถสอดแทรกความคิดของตนเองเข้าไปได้อย่างเต็มที่ในการอภิปรายผล
- ข้อเสนอแนะ เป็นการเขียนแนะนำผู้อ่านให้ทราบว่า จากผลการวิจัยนี้สามารถนำผลไปประยุกต์ใช้ภาคปฏิบัติอย่างไร และสามารถจะวิจัยต่อในประเด็นใด
3. ส่วนอ้างอิง เป็นการแสดงให้ทราบว่าผู้วิจัยได้ค้นคว้าหามวลความรู้ เพื่อการทำการวิจัยครั้งนี้มากน้อยเพียงใด การอ้างอิงอาจประกอบด้วย
3.1 การอ้างอิงในเนื้อเรื่อง เป็นการแสดงให้ผู้อ่านทราบว่าแนวคิด หรือทฤษฎี หรืองานวิจัยที่ผู้วิจัยศึกษามานั้นเป็นของใคร พิมพ์ปีใด อยู่หน้าใด หรืออ้างแบบใช้เชิงอรรถ
3.2 บรรณานุกรม เป็นการเขียนว่า หนังสืออ้างอิงมีอะไรบ้าง เมื่ออ้างในเนื้อเรื่องแล้ว ต้องมีการอ้างอิงในบรรณานุกรมด้วยทุกเล่ม
3.3 ภาคผนวก เป็นการนำรายละเอียดปลีกย่อยที่ไม่จำเป็นต้องใส่ในเนื้อหามารวมไว้ เพื่ออ้างอิงรายละเอียด เช่น
ภาคผนวก ก. ตัวอย่างเครื่องมือ
ภาคผนวก ข. รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ
เยี่ยมไปเลยดีใจที่เห็นรุ่นน้องก้าวหน้าด้านการศึกษาเอาใจช่วยเน้อ