ไปอบรมวิปัสนาหลักสูตร 10 วัน รอบที่ 2(10-21 พ.ย.) ที่ศูนย์ธรรมธานี คลองสามวา กทม.


   เพิ่งกลับจากไปอบรมวิปัสสนาหลักสูตร 10 วัน รอบที่ 2 ที่ศูนย์ธรรมธานี  ถนนนิมิตใหม่ เขตคลองสามวา กทม. เมื่อวันที่ 10-21 พ.ย.ซึ่งอยู่ในการดูแลของมูลนิธิส่งเสริมวิปัสสนากรรมฐานในพระสังฆราชูปถัมภ์ ซึ่งสอนโดยท่านอาจารย์โกเอ็นก้า
   แม้จะเคยไปอบรมหลักสูตร 10 วัน รอบแรก ที่ศูนย์ธรรมกมลา ปราจีนบุรี  และอบรมต่อในหลักสูตร 3 วันอีกครั้ง  แต่พอมาอยู่ในชีวิตปกติ ในสิ่งแวดล้อมที่ยั่วยุให้เกิดสังขาร(การปรุงแต่ง) ก็ทำให้จิตแกว่งไปบ่อยครั้ง  จึงต้องเข้าไปชาร์ตแบ็ตใหม่ เพื่อเพิ่มพลังจิตให้แข็งแกร่งมากขึ้นอีก
   ดังที่เคยเล่าไปแล้วในครั้งก่อนว่า หลักสูตรนี้ฝึกตามหลักไตรสิกขา(ศีล สมาธิ ปัญญา) ของพระพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัด และจริงจัง(ฝึกอย่างต่อเนื่องวันละ 10 ชั่วโมง) ซึ่งก็คือมรรค 8 นั่นเอง  เริ่มจากการรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา ใจ แล้วฝึกสมาธิด้วยอานาปานสติ พิจารณาลมหายใจเข้าออกที่สามเหลี่ยมปลายจมูกเพียงอย่างเดียว 3 วัน โดยไม่มีการบริกรรมใดใด(มีเหตุผลตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า) พอวันที่ 4 เป็นต้นไปเมื่อจิตเริ่มมีพลัง ก็ฝึกวิปัสสนาต่อ  โดยใข้จิตดูกายทุกส่วน (ตามขันธ์5)พิจารณาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าในทุกส่วนของร่างกาย ขึ้น-ลง เมื่อเกิดความรู้สึก(เวทนา)ที่จุดใด ก็ให้วางอุเบกขา ไม่ปรุงแต่ง(สังขาร)ให้ก่อกิเลสมากขึ้น     
     เมื่อฝึกบ่อยๆ ก็จะทำให้ค่อยๆลดละ กิเลสลงไป ซึ่งก็คือการขจัดสมุทัยที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ลงไปนั่นเอง  เราก็จะเกิดสติ และเกิดปัญญาตามมา ซึ่งปัญญาที่ว่านี้ไม่ใช่แค่เพียงสุตมยปัญญา(ปัญญาจากการได้ฟังได้อ่าน) และจินตามยปัญญา(ปัญญาจากการคิดเชิงเหตุผล)เท่านั้น แต่เป็นปัญญาที่เกิดจากภาวนามยปัญญาจากการปฏิบัติจริงด้วยตนเอง ทำให้เริ่มเข้าใจ เกิดปัญญาในหลักความจริงเรื่องไตรลักษณ์(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ถึงความไม่เที่ยงของสังขาร กับสรรพสิ่งต่างๆ  เหตุที่เราทุกข์เพราะเราไปยึดติดว่าตัวกูของกู แล้วพอกพูนกิเลสให้มากขึ้น
    การอบรมรอบแรกต้องอดทนต่อเวทนาที่เกิดขึ้นในแต่ละส่วนของร่างกายอย่างมากทีเดียว เข้าใจเลยว่าเราได้สะสมกิเลสจนฝังรากลึก เป็นจิตไร้สำนึก ที่พอเกิดความรู้สึกก็ถูกสังขารปรุงแต่งให้พอกพูนกิเลสและตัณหามากขึ้นๆ นี่แหละคือสาเหตุของทุกข์ และเริ่มเกิดปัญญาว่าทุกอย่างล้วนเป็นอนิจจัง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เมื่อเราได้พยายามใช้อุเบกขากับความรู้สึกต่างๆ จึงค่อยคลายลงไปบ้างในรอบที่สองของการอบรม  ความรู้สึกที่แน่นทึบในจุดต่างๆจากจิตไร้สำนึก ค่อยโล่งโปร่งสบายมากขึ้น  เริ่มวางอุเบกขาได้มากขึ้น และนี่แหละคือการดับทุกข์ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง  และสุขที่พบมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เพราะแต่ก่อนผมก็เคยฝึกสมาธิ เมื่อเกิดสมาธิก็โล่งโปร่งสบาย แต่พอออกจากสมาธิก็กลับทุกข์เหมือนเดิมอีก  แสดงว่าที่ผ่านมา เรายังไม่ได้ขจัดที่สมุทัยที่เป็นอวิชชาที่เกิดจากสังขารเข้ามาปรุงแต่งนั่นเอง 
    แต่อาจารย์ผู้สอนก็เน้นย้ำว่า เมื่อกลับไปจะต้องปฏิบัติให้ต่อเนื่อง เพราะหากละเลยก็จะถูกกิเลสครอบงำได้อีก  เพราะสังขารซึ่งเป็นตัวร้ายที่สุดที่จะมาปรุงแต่งให้เราเกิดกิเลส จะเข้ามาผจญเราตลอดเมื่อเราขาดสติและสัมปชัญญะ 
   เส้นทางนี้คงอีกยาวไกล ก็ต้องปฏิบัติไปจนวันตายนั่นแหละ     

หมายเลขบันทึก: 409627เขียนเมื่อ 22 พฤศจิกายน 2010 13:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 มิถุนายน 2012 18:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

สาธุ   สาธุ   สาธุ  อนุโมทนาในบุญกุศลค่ะ

ขอให้ดวงตาเห็นธรรมเร็ว ๆ นะครับอาจารย์

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท