“การทำนาเป็นอาชีพ หรือเป็นวัฒนธรรม”
“ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” เป็นคำกล่าวที่มีมาตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ซึ่งสื่อให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษของเรา รวมทั้งความงดงามทางด้านวัฒนธรรมประเพณี คนในสังคม และชุมชน มีความเป็นอยู่อย่างพี่อย่างน้อง เป็นสังคมสมานฉันท์และมีความเอื้ออาทรต่อกัน แต่เมื่อประเทศไทยส่งนักเรียนไปเรียนเมืองนอกมากขึ้นจึงทำให้สังคมวัฒนธรรมเปลี่ยนแปลงไป การทำอาชีพการเกษตรที่ทำแบบพออยู่พอกินหรือที่เรียกว่า “เฮ็ดอยู่เฮ็ดกิน เหลือกินก็แบ่งปัน เหลือแบ่งปันก็ขาย” จึงต้องเปลี่ยนไปทำเพื่อขายเป็นหลักเพื่อเพิ่มรายได้และหนี้สินมากยิ่งขึ้น“นี่แหละผลของการพัฒนา”
“การทำนาเป็นอาชีพหรือไม่” หากท่านได้สอบถามเกี่ยวกับอาชีพของพี่น้องในชนบทท่านก็มักจะได้ยินเสมอว่าอาชีพของเขาคือ “อาชีพทำนา” และถ้าหากถามต่อว่า ในรอบ 1 ปี ท่านทำนาอยู่กี่วันพี่น้องชาวอีสานที่ทำนาในเขตน้ำฝนและมีนาอยู่ประมาณ 15 - 20 ไร่ ก็มักจะตอบว่าใช้เวลาในการทำนาทั้งหมดตั้งแต่เตรียมจนกระทั่งเก็บเกี่ยวใช้เวลาประมาณ 90 – 120 วัน หากเรามาคิดในแง่ของจำนวนวันที่เหลือล่ะ จากการทำนาในรอบ 1 ปี ซึ่งมีถึง 245 - 275 วัน พี่น้องเกษตรกรเอาไปทำอะไร แล้วอย่างนี้จะถือว่าพี่น้องเกษตรกรมีอาชีพ “ทำนาจริงหรือไม่”
“บริบทของเกษตรกร” แท้ที่จริงแล้วในการดำเนินชีวิตของพี่น้องเกษตรกรไทย โดยเฉพาะในอีสานนั้นที่บอกว่าตนเองมีอาชีพทำนา แต่โดยเนื้อแท้ของบริบทแล้วพี่น้องเกษตรกรไม่ได้ทำนาเพียงอย่างเดียว เป็นการทำการเกษตรแบบผสมผสาน เช่น การปลูกพืชผักสวนครัว ไม้ผล สมุนไพร พืชไร่ และพืชป่าตามหัวไร่ปลายนา การเลี้ยงไก่ เป็ด ห่าน วัว ควาย ฯลฯ ในเวลาเดียวกัน และเวลาที่เหลือด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าที่มาแห่งรายได้ของพี่น้องเกษตรกรมาจากหลายช่องทาง หากแต่ว่าอาชีพการทำนา “ เป็นทั้งอาชีพ และวัฒนธรรม” ที่ทำสืบทอดกันมาแต่บรรพบุรุษ
อุทัย อันพิมพ์
25 ก.ค. 2549
ครับ การทำนาไม่ใช้แค่เป็นอาชีพแต่เป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาเป็นเวลานานสมัยก่อน แต่ถ้าจะให้อาชีพที่เป็นเสมือนวัฒนธรรมของไทยให้สามารถที่สืบทอดต่อไปได้ เราก็ต้องให้เกษตรกรรุ่นไหม่ช่วยกันพัฒนาภาคการเกษตรของไทยต่อไป