วันนี้เมื่อได้อ่านบันทึกเรื่อง
ห้องเรียนพัฒนบูรณาการศาสตร์ข้างตลาดโต้รุ่งเมืองกาฬสินธุ์ ความสำเร็จแห่งการเขียนบันทึก.. ของนายบอน ที่ได้เขียนถึงผมและน้องพิไลไว้ว่า...
บันทึกธรรมดาๆ แต่ประสบความสำเร็จในการสื่อสารกับเด็กวัยรุ่นแถวตลาดโต้รุ่งได้
“ถึงแม้ว่า จะไม่ได้ไปนั่งเรียนปริญญาเอกด้วย หากเขียนบันทึกเรื่องราวต่างๆไปเรื่อยๆจนเรียนจบ ก็เหมือนกับคนอ่านได้ซึมซับความรู้จากห้องเรียนปริญญาเอกไปด้วย”
ถือว่า เป็นบล็อกที่ได้”รางวัลขวัญใจเด็กตลาดโต้รุ่งเลยนะครับเนี่ย””
รางวัลที่คุณบอนมอบให้ผมและน้องพิไลนั้น ถือว่าเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ ครับ โดยเฉพาะคำพูดสั้น ๆ ที่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่กาฬสินธุ์ ที่พูดว่า “เหมือนได้ไปนั่งเรียนในห้องเรียนพัฒนศาสตร์ด้วย” เป็นคำพูดที่ยิ่งใหญ่และสรุปความหมายของ “การจัดการความรู้” ได้อย่างมีสีสันมาก ๆ เลยครับ
กาลครั้งหนึ่งไม่นานเท่าไหร่... เคยมีเพื่อนอาจารย์พูดกับผมบ่อย ๆ ว่า “ผมเขียนบทความเหมือนเขียนนิยาย” คำพูดนี้ทำให้ผมอึ้งไปเลย อึ้งนี่ไม่ได้หมายความโกรธเขานะครับ แต่ที่อึ้งก็เพราะผมคิดว่า
“เราเขียนได้น่าอ่านเหมือนนิยายเลยเหรอ”
ในอดีตและปัจจุบันได้ยินเพื่อนพูดบ่อย ๆ และผมเองยังเคยพูดเลยว่า “ยานอนหลับที่ดีที่สุดชนิดหนึ่งก็คือ การอ่านหนังสือ” หนังสือมันน่าเบื่อขนาดนั้นเลยเหรอ
ผมก็เลยกลับมาคิดว่าแล้วทำไมคนอ่านนิยายถึงติดกันงอมแงม อ่านแล้วไม่ยอมหลับยอมนอน และถ้าเราเขียนบทความทางวิชาการได้เหมือนกับนิยายได้ก็คงจะดีครับ
ผมก็เลยลองถอดรหัส “นิยาย” ออกมาว่า “เอ๊ะ นิยายมีอะไรที่ทำให้คนอ่านถึงติดกันได้งอมแงม" เหมือนกับดูหนังดูละคร วันนี้มีแดจังกึม เราต้องรีบกลับบ้านไปดูให้ได้ ทำไมไม่เหมือนกับตอนเรียนหนังสือหรืออ่านหนังสือน๊า
ผมก็เลยได้ถอดรหัสปัจจัยของนิยายออกมาง่าย ๆ อยู่สองสามประการครับ นั่นก็คือ “อ่านง่าย เข้าใจง่าย มีสีสัน เต็มไปด้วยบริบท และมีองค์ประกอบที่ต่าง ๆ ที่เข้ากัน” นั่น ปาเข้าไปห้าประการเลยครับ
จากนั้นผมก็เลยพยายามเขียนบทความและสิ่งต่าง ๆ ออกมาให้คนอ่าน “เคี้ยวง่าย” “กลืนง่าย” จนเคยถูกเพื่อน ๆ อาจารย์ประณามว่า
“เป็นกบฏทางวิชาการ”
เพราะนักวิชาการต้องเขียนอะไรที่เป็นระเบียบ แบบแผน ให้ถูกต้องตามหลักครูบาอาจารย์ ใช้ภาษาให้ถูกต้อง ใช้ภาษาอังกฤษเยอะ ๆ และต้องใช้ภาษาที่ต้องแปลไทยเป็นไทยอีกถึงจะดี
แต่ผมกลับคิดว่า การเขียนบทความหรือแม้กระทั่งหนังสือ จุดมุ่งหมายหลักอยู่ที่ว่า “จะทำอย่างไงนะ ที่ให้คนอ่านเข้าใจ” แทนที่จะแสดงว่า “คนเขียนนั้นเก่งอย่างไร” นอกจากจะอ่านเข้าใจแล้ว ตัวหนังสือของเราจะต้องทำให้คนอ่านนั้นคิดตาม จินตนาการตามและทำตามได้ด้วย
เหมือนกับครั้งที่ผมนั่งรถไปกับ ดร.ประพนธ์ ผาสุขยืด ท่านได้เล่าถึงการแปลหนังสือเล่มแรกของท่าน ท่านเล่าให้ฟังว่า “ผมอ่านแล้ววางไม่ลง อ่านแล้วแปล แล้วนอนไม่หลับ”
ถ้าหนังสือ หรือบทความของบ้านเราทำให้คนอ่านอ่านแล้ววางไม่ลงหรืออ่านแล้วนอนไม่หลับ ต้องคิดตามอยู่ตลอด ก็คงจะดีมาก ๆ เลยครับ
ตั้งแต่ผมได้เกิดมาลืมตาดูโลก เคยมีอยู่สิ่งหนึ่งครับที่ทำให้ผมหลับไม่ลง “Full House” Series เกาหลี วันนั้นผมได้ยืมน้องที่เป็นอาจารย์เอกภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยฯ มาดู ชุดแรกมีทั้งหมด 8 แผ่น ชุดที่สองอีก 8 แผ่นครับ รวมทั้งหมด 16 แผ่น
ซึ่งโดยปกติผมจะไม่ค่อยชอบดูหนังแนวนี้อยู่แล้วครับ เพราะเมื่อก่อนคิดว่า “มันช่างไร้สาระสิ้นดี” จะดูแต่หนัง Action ฆ่า กัน ยิง กัน ระเบิดตูมตาม แต่หนัง Action นี่ ดูแล้วก็หลับไม่ลงเหมือนกันครับ เพราะมันทำให้สมองเครียด โดยเฉพาะยิ่งดูก่อนนอน หนังพวกเลือดท่วมจอ ดูแล้วนอนไม่หลับเลย
แต่เมื่อตอนนั้นได้ดู Full House กะว่าจะดูแค่แผ่นเดียว แต่พอดูเข้าไปจริง ๆ ปาเข้าไป 6 แผ่นครับในคืนเดียว ตั้งแต่ 3 ทุ่มถึง ตีสี่กว่า ๆ ครับ
พอตอนเช้า ผมก็มานั่งคิดว่า ทำไมนะ เราถึงเป็นได้ขนาดนั้น ก็เลยเริ่มถอดบทเรียนตัวเองถึงสิ่งที่เราได้สัมผัส ก็ได้พบตั้งแต่การเดินเรื่องของผู้เขียน การเลือกตัวละคร องค์ประกอบต่าง ๆ ฉาก เสื้อผ้า เพลงประกอบ ทุกอย่างที่สามารถส่งผ่านทั้งหูและตาออกมาทางโทรทัศน์ได้ เราจะต้องใช้สิ่งเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
ประกอบกับการทิ้งประเด็นไว้ให้ติดตาม ตามหลักนิเทศศาสตร์และบริหารธุรกิจ พอจะจบแผ่น ก็ทิ้งประเด็นให้ผู้ชมอยากดูต่อแผ่นต่อไปเร็วๆ จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม ถ้ามีแผ่นที่สี่ ห้า หก อยู่ในมือ ก็จะต้องเปิดดูให้หมด เพราะน่าติดตาม ดูหมด 16 แผ่นแล้ว ก็ต้องให้เขาดูได้อีกหนึ่งรอบ ดูหนังเสร็จแล้ว ต้องทำให้เขาไปซื้อ CD เพลงมาฟัง ซื้อ CD เพลงแล้ว ต้องไปดูคอนเสิร์ต ต้องชอบตัวศิลปิน ชอบศิลปินก็จะทำให้ติดตามไปดูเรื่องอื่น ๆ ด้วยเช่นเดียวกัน
ดังนั้นถ้าเราทำให้อะไรต่าง ๆ ที่มันเป็น “วิชาก๊าน วิชาการ” อ่านง่าย เคี้ยวง่าย น่าติดตาม นอนไม่หลับและวางไม่ลง อ่านแล้วต้องติดตาม ทำตาม คลั่งไคล้ทฤษฎี ต้องนำทฤษฎีนี้ไปใช้ นำทฤษฎีโน้นไปใช้ ใช้เดี๋ยวนี้ บัดนี้ ใช้แล้วใช้อีก ๆ ๆ ๆ ๆ ใช้แล้วบอกต่อ เหมือนกับที่เราดูหนัง หนังดีก็อยากให้เพื่อนดู คนรักที่อยู่รอบข้างดู ฉันใดก็ฉันใด หนังสือดี บทความดี ก็อยากให้เพื่อนอ่าน เพื่อนดู เพื่อนลองทำ
แหมหยิบยกโยงประเด็นได้เห็นภาพที่ชัดเจน และใกล้ๆตัวของคนอ่านแบบนี้นี่เอง ไม่ต้องเขียนในแบบนิยาย คนอ่านก็ติดกันงอมแงมได้เหมือนกันนะครับ
รางวัลเล็กๆ แต่ธรรมดา ที่โดนใจเด็กวัยรุ่น ใช่ว่าจะได้กันง่ายๆซะที่ไหนล่ะครับ เพราะข้อมูลที่มีประโยชน์ พวกเขาไม่มีโอกาสเข้าถึง เข้าเนตก็จะเล่นเกมส์ ดูเวบบันเทิง chat กันอย่างเดียว
เมื่อเปิดดูข้อมูลความรู้ ก็รู้สึกหนักสมอง หลายเรื่อง หยิบยกประเด็นเรื่องไกลตัวของพวกเขา แล้วเขาจะเข้าใจได้อย่างไรกัน
ผู้มีความรู้หลายท่าน มักจะหยิบยกทฤษฎีมรตำรามาอธิบายขยายความ และเกิดความรู้ ความเข้าใจเฉพาะผู้ที่มีพื้นฐานความรู้มาก่อน
แต่เรื่องธรรมดาสามัญกลับไม่เคยถูกหยิบยกมากล่าวถึง ทำให้ระยะทางระหว่างความเข้าใจข้อมูล ยิ่งห่างออกไปอีก
ถ้าการเขียนข้อความแล้วสามารถสื่อความหมายให้เข้าใจง่ายแ้ล้ว ถือว่า เป็นการสร้างสรรค์องค์ความรู้และให้กลุ่มเด็กและเยาวชนได้เห็นว่า ความจริงมีข้อมูลที่ใกล้ตัวและเข้าใจได้ง่าย ใช่ว่า ข้อมูลความรู้ วิชาการจะเป็นยิ่งที่ย่อยยาก เสมอไป
บรรยากาศแบบที่อาจารย์ว่า ดิฉันเคยสัมผัสค่ะ เมื่อสมัยเรียนมัธยม ก็ 30 ปีที่ผ่านมานี่เอง ในวิชาประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าวิชานี้ เป็นยานอนหลับขนานเอก แต่มีอาจารย์ท่านหนึ่งจำได้แต่ชื่อคือ อาจารย์อัจฉรา จำนามสกุลไม่ได้แล้ว พอถึงชั่วโมงประวัติศาสตร์ดิฉันจำได้ว่าอยากเรียนมากๆ สนุกมาก จำติดตาจนถึงเดี๋ยวนี้ทั้งลีลาการสอน เนื้อหาซึ่งว่าด้วยสงครามเก้าทัพ อาจารย์อธิบายเหมือนได้ดูหนังเลย มีตัวละครยกทัพกันไปยกทัพกันมา มีพระเอกมีผู้ร้าย ด้วย อาจารย์ก็ตัวเล็กๆกระโดดไปทางโน้นทีทางนี้ทีของกระดานดำด้วยท่วงท่าที่ว่องไวกระฉับกระเฉง เสียงดังฟังชัด นักเรียนงี้นั่ง ตัวไม่กระดิกเลย
บอกได้คำเดียวว่า "สุดยอด" ถ้าเรียนวิชาอื่นๆสนุกเหมือนเรียนวิชานี้ดิฉันว่า ถ้าให้เลือกระหว่างไปเที่ยวศูนย์การค้ากับไปโรงเรียน ดิฉันตอบโดยไม่ต้องคิดเลยว่าไปโรงเรียนสนุกกว่ากันเยอะเลย
อยากให้บรรยากาศแบบนี้เกิดขึ้นกับนักเรียนในทุกชั่วโมงที่เข้าห้องเรียนจัง มันจะเป็นไปได้ไหมเนี่ย
ถ้านักวิชาการยังถนัดการเขียนแบบวิชาการแล้วคนอื่นวิชาชีพอื่นอ่านไม่ได้ ไม่รู้เรื่อง
น่าจะจัดให้แหล่งทุนมีแผนกการถอดความงานวิจัยแล้ว เขียนรายงานการวิจัยฉบับประชาชน นะครับ ผมว่าถ้ามีออกมาเยอะ ๆ ไม่อยู่บนชั้นแล้วล่ะก็
สังคมเราจะอุดมไปด้วยปัญญานะครับ
หรือนักวิจัยลองกบฎอย่างข้อคิดเห็นของอ.ปภังกรดูนะครับ
ขอบคุณทุก ๆ ท่านมาก ๆ เลยครับ ที่เข้ามาให้กำลังใจกบฎทางวิชาการอย่างผมครับ
แต่ตอนนี้ผมเริ่มจะเป็นกบฏไม่ค่อยได้แล้วครับ เพราะว่าถูกหลักสูตรและแผนการเรียนบังคับให้เป็นนักวิการเหมือนเดิมครับ
จะกลายเป็นคนธรรมดาเดินดินกินข้าวแกง พูดจาภาษาคนง่าย ๆ แบบเดิมไม่ได้แล้วครับ