บันทึกเที่ยวบาหลี
วันนี้เราจะพาไปเที่ยวบาหลีกันดีกว่า บาหลีดินแดนแห่งเทพเจ้า เป็นเกาะเล็กๆ ของประเทศอินโดนีเซีย มีวิถีชีวิต อารยธรรม และธรรมชาติที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง เป็นดินแดนที่อยากไปเที่ยวมานานแล้ว วันที่ 9-13 ตค.53 เราสองคนจึงได้มีโอกาสไปสักที การเตรียมตัวสำหรับคนไทยไม่ยุ่งยาก แค่มี พาสปอร์ต ที่มีอายุไม่น้อยกว่า 6 เดือน ไม่ตัองขอวีซ่า เราจองตั๋วเครื่องบิน จองทัวร์ที่บาหลี(ไกด์พูดภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี)ทางอินเทอร์เนต ทัวร์ที่เราจองนั้น 4 วัน 3 คืน รวมทั้งจัดการเรื่องที่พักให้ด้วย ราคาไม่แพงนัก เตรียมกระเป๋าเดินทาง เตรียมแลกเงิน รูเปียส(IDR)เทียบกับเงินไทยประมาณ 200 รูเปียส กว่าๆ / 1 บาทถ้าไปแลกที่บาหลีจะได้ประมาณ 200รูเปียสเท่านั้น ที่บาหลีฝนจะตกไม่เป็นเวลา ต้องเตรียมร่ม เตรียมหมวกไปด้วย สถานที่เที่ยวส่วนใหญ่เป็นฮินดูศาสนสถาน ต้องเตรียมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่เรียบร้อยไปหน่อย ส่วนเรื่องเวลาที่บาหลีจะเร็วกว่าไทยประมาณ 1 ชั่วโมง ระยะเวลาเดินทางจากสุวรรณภูมิ – เดนปาร์ซ่าแอร์พอร์ต ประมาณ 4 ชั่วโมงกว่าๆ มาเลยค่ะเราเริ่มไปลุยกันเลยดีกว่า
วันแรกเดินทางไปถึง เวลาบาหลี 11.30น. ไกด์(ชื่อมาเด นิสัยดีมากค่ะ สุภาพ)มารับที่สนามบิน เช็คอินที่โรงแรม Harmony ล้างหน้าล้างตากันเสียหน่อย หลังจากนั้นพาไปรับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคารก่อนเริ่มออกเดินทางไปเที่ยวที่แห่งแรกคือ พาไปชมความยิ่งใหญ่อลังการของ GWK Culture Park สวนพระวิษณุ เพื่อสักการะองค์พระวิษณุ อนุสาวรีย์ขนาดใหญ่ครึ่งตัวใหญ่มาก ทำมาจากโลหะ บริเวณนี้เราสามารถมองเห็นทัศนียภาพ ของอ่าวบาหลีที่ขอดเขาหากันบริเวณทางตอนใต้ได้จากที่นี่ นอกจากนี้ก็เดินชมพิพิธภัณฑ์ก่อนเดินทางต่อ
หลังจากนั้นไปที่วัดอูรูวาตู และเป็นเขาว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของเกาะบาหลี การเข้าชมวัดนี้ สิ่งที่สำคัญ คือจะต้องนุ่งโสร่ง และคาดเอวด้วยผ้า แต่งตัวให้เรียบร้อย แต่วันนี้นู๋ทิมนุ่งกางเกงขายาว เขาเลยให้ใช้ผ้าคาดเอวอย่างเดียว ระหว่างทางเดินขึ้นวัดยังต้องคอยระวังลิงที่มีอยู่มากมาย ไกด์บอกว่ามันจะแอบย่องมาแย่งของต่างๆ เช่น แว่นตา กระเป๋า หมวก เป็นต้นให้ระวังให้ดี ต้องคอยขู่ลิงไปด้วยเวลามันเข้าใกล้ วัดนี้ตั้งอยู่บนบนสุดปลายหน้าผาที่สูงชัน เบื้องล่างคือขอบหน้าผา ตัดกับน้ำทะเล เป็นภาพที่สวยงามมาก เป็นวัดหลักประจำท้องทะเลที่ชาวบาหลีเคารพบูชา สองข้างของวัดมีทางเดินเลียบหน้าผาให้ชมความงาม มองเห็นคลื่นซัดเข้าหาฝั่งสวยงามจริงๆ
เวลา 18.00น.กลับมาที่โรงแรมอาบน้ำอาบท่าแล้วออกไปหาอาหารกินกันขอบอกว่าอาหารตามร้านอาหารนั้นราคาค่อนข้างแพงเมื่อเปรียบเทียบกับบ้านเรา แค่ข้าวผัดจานเดียว ราคา 200 บาทขึ้นไป หลังทานอาหารก็ไม่รู้จะไปไหนดีก็กลับเข้าที่พัก เตรียมตัวไว้ลุยพรุ่งนี้ต่อ
วันที่สอง
เริ่มออกเดินทาง 08.30น. ไกด์มารออยู่แล้ว(ตรงเวลาจริงๆ) วันนี้ลำดับแรกเราไปชม Balinese cultural show เป็นการแสดง Barong and Keris Dance ที่ Kesiman village การแสดงนี้นักท่องเที่ยวต้องมาชมกันให้ได้ การแสดงเป็นการเต้นบอกเล่าถึงที่มาความเชื่อ ในเทพเจ้า ของชาวบาหลี บรรยายถึงการต่อสู้ระหว่างความดีและความชั่ว เป็นการต่อสู่ระหว่างปีศาจชั่วร้ายและความดี ซึ่งมี บารอง สัตว์แห่งโบราณนิยาย เป็นตัวแทนของความดี และ รังคา สัตว์ประหลาดแห่งโบราณนิยา่ย เป็นตัวแทนแห่งปีศาจชั่วร้าย การแสดงจะมีด้วยกันทั้งหมด 5 ฉาก แต่ละฉากจะเปิดการแสดง ด้วยดนตรีโหมโรง(ซึ่งมีเป็นคณะดนตรีคล้ายๆกับคณะดนตรีลิเกไทย นะแหละ แตกต่างกันที่เครื่องดนตรี และท่วงทำนอง) การแสดงฉากสุดท้ายแน่นอน ธรรมะย่อมชนะอธรรม
หลังจากนั้นเราเดินทางต่อไปแวะชม จิวเวอรี่(ชมอย่างเดียวไม่ได้ซื้อ บ้านเรามีให้เลือกมากกว่าและราคาถูกกว่าด้วย) แวะKemenuh village การแกะสลักไม้ที่สวยงามมาก รายละเอียดนั้นหาช่างสร้างสรรค์กันดีจริง ช่างมีพรสวรรค์กันจริงๆเป็นงานศิลปะที่ขึ้นชื่อเช่นกัน สำหรับผู้ที่นิยมศิลปะจากการแกะสลัก อาจนำมาตกแต่งบ้านหรืออาคารสถานที่ต่างๆ ได้เช่นกัน แต่จะลำบาก ตรงมีน้ำหนักมาก แต่ก็มีงานไม้และหินแกะสลักขนาดเล็ก สำหรับเป็นที่ระลึกให้ซื้อติดไม้ติดมือด้วย แต่ก็ไม่ได้อุดหนุนเขาหรอกนะขี้เกียจขนกลับ แวะชมการทำผ้าบาติค ซึ่งเป็นหัตถกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดของย็อกยา ได้ทราบถึงกระบวนการผลิต รูปแบบ และสีสันของผ้า
หลังจากนั้นเดินทางขึ้นเขาไปเที่ยวหมู่บ้าน Kintamani ไปดู ภูเขาไฟที่ยังดับไม่สนิท แต่เป็นที่น่าเสียดายมากที่ไม่สามารถชมความงามของทิวทัศน์และภูเขาไฟได้ เพราะ ฝนตกตลอด อากาศบนนี้เย็นสบายมากค่ะ คล้ายๆฤดูหนาวบ้านเรา แต่มีฝนตกโรแมนติคจริงๆ หมู่บ้าน Kintamani ตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบสูงที่มีอากาศเย็นสบาย ซึ่งสามารถชมทัศนียภาพที่งดงามของ ภูเขาไฟบาตูร์ (Gunung Batur) และทะเลสาบาตูร์ (Lake Batur) ที่หมู่บ้านแห่งนี้ได้ แต่ก็มองเห็นได้ลางๆฝ่าสายฝนออกไปเลยไม่ได้ภาพสวยๆมาเลย หลังจากนั้นเราเลยแวะรับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคารบนนี้กันเพื่อรอเวลาฝนหยุด แต่ฝนก็ยังตกตลอดเลยต้องเดินทางลงเขากันต่อ
กลับลงมาระหว่างทางแวะชมสวนกาแฟ ชิมกาแฟบาหลี ฝนยังคงตกตลอด สำหรับสถานที่นี้เป็นเสมือนที่สาธิตการผลิตกาแฟแบบพื้นบ้าน มีการคั่วกาแฟให้ดูรวมถึงมีกาแฟให้ชิมฟรีๆท่ามกลางวิวทิวทัศน์ของหุบเขาเขียวขจี นั่งจิบกาแฟหอมๆพร้อมกับชมวิวท่ามกลางอากาศเย็นสบาย
หลังจากนั้นเดินทางลงเขาไป Ubudเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ทำงานศิลปะ จนกระทั้งกลายเป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นศูนย์กลางของงานศิลปะของบาหลี ใครได้มาเยือนเกาะแห่งนี้แล้วต้องไม่พลาดการมาที่นี่ มีแกลเลอรี่ที่จัดแสดงงานศิลปะมากมาย แวะไปดู Painting village ก่อน ซึ่งราคาภาพที่นี่ก็แพงเหมือนกัน เราแวะดูแล้วก็กลับโรงแรม มาถึงโรงแรมประมาณ 17.30น
วันที่สาม
เช้านี้ไป เที่ยวชม วัดเม็งวี หรือปุราทามันอายุน (Pura Taman Ayun) ซึ่งเป็นวัดที่เคยเป็นพระราชวังเก่า สร้างตอนศตวรรษที่ 17 เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมของกษัตริย์ราชวงศ์เม็งวี กำแพง ประตูวัด ก่อด้วยหินสูง แกะสลักลวดลายวิจิตรบรรจง หลังคาปูด้วยหญ้า สิ่งก่อสร้างด้านใน ตกแต่งลวดลายงดงามตามแบบบาหลี มีสระน้ำล้อมรอบ หลังจากนั้นเดินทางสู่ เทือกเขา เบดูกัล(Bedugul) ผ่านไร่ผัก, ผลไม้เมืองหนาว และหมู่บ้านที่สวยงามที่ตั้งอยู่บนเทือกเขา แวะชมแล้วผัก ผลไม้ซึ่งก็คล้ายที่บ้านเรา มีทั้ง สละ(บาหลีเรียก Salak) ส้ม สับปะรด กล้วย ทุเรียน มะม่วง Passion fruit องุ่น สตรอเบอรี่ แครอท กระหล่ำปลี มันเทศ เผือก ฟักทอง มะเขือเทศ ฯลฯ เหมือนกันกับไทยเลยเห็นมั๊ย บ้านเราถูกกว่าตั้งเยอะ แวะชม วัดอูลัน ดานู บราตัน (Pura Ulun Danu Bratan) วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ริม ทะเลสาบบราตัน (Lake Bratan) ที่อยู่ในระดับความสูง 4,300 ฟุต จากระดับน้ำทะเล ตั้งอยู่บริเวณกลางน้ำริมทะเลสาบบราตัน มีฉากหลังเป็นภูเขาไฟ บางช่วงถูกคั่นด้วยปุยเมฆสีขาว วัดนี้สร้างตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17 เพื่อใช้ทำพิธีทางศาสนาพุทธและฮินดู รวมทั้งอุทิศแด่เทวี ดานู เทพเจ้าแห่งสายน้ำ ไม่สามารถเดินข้ามไปยังวัดได้ มีลักษณะเด่นตรงศาลาซึ่งมีหลังคาทรงสูงที่รียกว่าเมรุ มุงด้วยฟางซ้อนกันถึง 11 ชั้น(ซึ่งตอนนี้เขากำลังบูรณะอยู่) จะมีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี ฉากหลังคือทุ่งนาขั้นบันไดที่ค่อย ๆ ลาดต่ำลง เป็นทะเลสาบที่มีชื่อเสียง ซึ่งมีรีสอร์ทให้นักท่องเที่ยวที่ต้องการธรรมชาติแบบทุ่งหญ้า ท้องนา และภูเขาได้เข้าพักด้วย ไกด์บอกว่าในตอนเช้าหากไม่มีหมอกหมอกจะได้เห็นวิวที่สวยงามของยอดเขาคินตามณี (Kintamani) เมาต์อากุง (Mount Angung) เรื่อยไปจนถึงทางทิศตะวันออก นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์รวมกิจกรรมทางน้ำสร้างความตื่นเต้น เช่น สกีน้ำ การล่องเรือ และภายเรือในทะเลสาบ แต่ตอนเราไปไม่เห็นมีคนเล่นสกีน้ำเลย… และเรารับประทานอาหารกลางวันกันที่นี่
หลังจากนั้นเดินทางกันต่อ ระหว่างทางแวะที่ MONKEY LAND ที่ Sanctuary at Atlas Kedaton ได้พบกับฝูงลิงน้อยใหญ่ มากมาย เป็นลิงที่ไม่ดุร้าย มองดูแล้วน่ารัก น่าสงสารมากกว่า จะมีคนมาพาเราไปเดินชมบรรยากาศธรรมชาติรอบๆวัด ชมลิง ชมค้างคาวตัวใหญ่ๆ และคนที่พาเราชมคนนี้สุดท้ายแล้วก็จะพาเราไปที่ร้านขายของของเขาให้เราช่วยซื้อของเขา ซึ่งเขาก็ไม่เซ้าซี้ แต่เราก็รู้สึกเกรงใจเลยซื้อผ้า Batik มาผืนหนึ่ง
หลังจากนั้นเดินทางสู่คูต้า เซ็นเตอร์ สถานที่ช็อปปิ้ง สินค้าแบรนด์เนมทั้งหลาย เช่น ROXY , VERSACE ,POLO, ARMANI และอื่น ๆ อีกมากมาย ในราคาที่ไม่แพงนัก (ได้เสื้อยืดมาฝากน้อง 2 ตัว) จุดสุดท้ายที่เดินชมสินค้าอีกสักระยะ 200 เมตรจะพบจุดชมวิวที่งดงามที่สุดของเกาะบาหลี ที่ วิหารตานะห์ ล็อต(Tanah Lot) วัดแห่งนี้ตั้งอยู่เหนือผืนดินบนแท่นหินซึ่งเกิดจากการถูกคลื่นกัดเซาะ คูหาที่รายรอบวัดคือที่อาศัยของงูศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอยู่อย่างสันโดษโดยไม่ถูกรบกวน(ไม่เห็นงูเลย) อนุญาตให้เข้าไปข้างในได้เฉพาะผู้มาสักการะเท่านั้น แต่นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นชมทัศนียภาพยามอาทิตย์ลับขอบฟ้าได้บนเขาลูกใกล้กัน แต่ไม่ได้รอจนพระอาทิตย์ตกก็กลับก่อนเพราะรู้สึกเหนื่อย เพลียเลยกลับไปพักผ่อนเพื่อเตรียมเดินทางกลับบ้านเราในวันรุ่งขึ้น
แม้จะเป็นพุทธศาสนิกชน แต่ก็ชื่นชมศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆของฮินดู โดยเฉพาะผู้คนที่พบพานในทริปนี้อัธยาศัย ใจคอของคนบาหลีนับว่าดีทีเดียวต่อนักท่องเที่ยว ชาวบาหลีช่างมีพรสวรรค์กันจริงๆ สังเกตได้จาก ศิลปะ ต่างๆ ที่เขาได้สร้างสรรค์ ถ่ายทอด และสื่อออกมาเช่น พิธีกรรมต่างๆ ภาพวาด ภาพแกะสลัก งานคิลปะต่างๆ ทำให้เราได้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ อันมีความเป็นธรรมชาติ ละเอียดอ่อนและอ่อนโยนชมเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ อาจจะเป็นสภาพแวดล้อมด้วยก็ได้...แม้ไม่ได้มีวัตถุสิ่งของมาฝากคนที่เมืองไทย แต่ก็ได้ความอิ่มเอมใจมาฝากแทนก็ละกัน...อิอิ ไม่รู้อยากได้กันหรือเปล่า
ชาวฮินดูมาวัดก็ไม่ต่างอะไรกับชาวพุทธที่ไปวัดกัน จะมีเครื่องไหว้ต่างๆ เอามาที่วัด จะต่างกันแค่ตรงที่การเอามาไม่เหมือนกัน ชาวพุทธจะถือหรืออุ้มมา แต่ชาวฮินดูจะเทินหรือวางบนหัวมา
อย่างไรก็ตาม สำหรับวันนี้คงถึงเวลาที่ต้องบอกลา บาหลี ก็ขอบอกลาตรงนี้เลยละกัน คิดว่าคงได้มีโอกาสมาอีกครั้ง เพราะสิ่งสำคัญคือ พลาดชมสิ่งมหัจรรย์ของโลกคือ บุโรพุธโธ (อยู่ที่ฝั่งชวา ชาวบาหลีเรียก Java) เป็นวัดพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ออกแบบและสร้างขึ้นในแบบของตัวเองไม่เหมือนที่ไหน เป็นพุทธสถานที่สำคัญและยิ่งใหญ่ในระดับเดียวกันกับนครวัดในเขมรเลยทีเดียว ครั้งนี้พลาดไปได้อย่างไรก็ยังงงๆ....ก็คงต้องรอไปก่อนนะ...ดา ดา บาหลี... Om Swastyastu
ดา ดา บาหลี... Om Swastyastu
อ่านและดูภาพแล้ว นึกถึงอดีตที่เคยไป สวยมาก ที่ชอบมากคือสองข้างทาง มักจะมีศาลพระภูมิเล็กๆ ตั้งอยู่ งดงามมาก อีกเรื่องที่ชอบคือลายเสื้อยืดที่ออกแบบได้น่าชมเหมือนผ้าผืนๆ ที่ห้อยแขวนรอผู้มาเยือนสองข้างทางได้แวะชม-ซื้อ
ภาพสวยงามทุกภาพเลยครับ แต่ว่าลิงที่อินโดหน้าเหมือนลิงเมืองไทยเลยนะครับ
อาหารบาหลีอร่อยมั้ยหนู ชิมมาเยอะรึเปล่าหนู
มีความสุขเหมือนได้ไปบาหลีเลยเนอะ ...อิจฉาจังมีไกด์ส่วนตัวพาเที่ยวต่างประเทศด้วย แต่เห็นทำหน้าแปลกๆตอนกินอาหารบาหลี...