เรียนรู้บนเส้นทางชิวิต(1)


นี่แหละที่เขาเรียกว่าหมอรู้จักไข้ แต่ไม่รู้จักคน เวลาเรียนหมอเขาก็ให้เรียนแต่คนไข้ คนป่วย คนปกติไม่ได้เรียน ก็เลยติดนิสัยสนใจแต่ไข้ไม่สนใจคน

Practicallykm.gotoknow.org : เมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมาตื่น 7 โมงเช้า(สายเหมือนกัน) อาบน้ำ กินข้าวแล้วไปส่งลูกชายไปโรงเรียน(อยู่ข้างโรงพยาบาล)แล้วขึ้นไปทำงานประมาณ 8 โมงเช้า เชนต์หนังสือราชการแล้วผมได้ใช้เวลาช่วงเช้าเกือบทั้งหมดในการดูแลผู้ป่วยในหอผู้ป่วยหญิงซึ่งมีผู้ป่วยถึง 28 เตียง เกือบเต็มเลยและใช้เวลาพูดคุยกับผู้ป่วยอย่างเต็มที่ ดูผู้ป่วยแบบสบายๆไม่เร่งรีบเพราะมีคุณหมออยู่ครบทุกคน 2 ปีที่ผ่านมานี้ ผมโชคดีมากที่มีน้องๆหมออยู่โรงพยาบาล 4 คนครบทั้งปี ไม่มีเวียน จากแต่เดิมเคยเปลี่ยนหมอทุก 2 เดือนๆละ 2-3 คน เรียกว่าอำเภอบ้านตากได้หมอหลายคนต่อปีแต่อยู่คนละแป๊บเดียวยังไม่ทันจะคุ้นเคยกับผู้ป่วยก็ไปแล้ว ปีนี้น้องๆทั้ง 4 คนน่ารักมากทำงานเป็นทีมช่วยเหลือกันดีมาก ไม่เกี่ยงงอนกัน ตรงไหนมีคนไข้ก็จะช่วยกันดี ไม่มีหลบไปไหน ห้องตรวจก็จะมีหมอตรวจอยู่ตลอด พยาบาลไม่ต้องโทรตามหาตัว และก็มาทำงานกันไม่เกิน 8 โมงเช้ากันทุกคน(รวมทั้งผมด้วย) พอมีอะไรก็ปรึกษากันได้ คุยกันได้ และเราจะพยายามไปกินข้าวด้วยกันมื้อกลางวันเกือบทุกสัปดาห์ ก็เป็นการประชุมองค์กรแพทย์ไปด้วย(แบบไม่เป็นทางการ)  ไม่มีปัญหาเรื่องจัดตารางเวร เวลาผมอยู่เวรต้องดูแลผู้ป่วยในซึ่งเราจะต้องดูผู้ป่วยอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งคือเช้าและบ่าย แต่ผมมักจะมีประชุมติดตามงานตอนบ่ายอยู่บ่อยๆ คุณหมอเสถียรพงศ์ ซึ่งอยู่ที่บ้านตากเป็นปีที่สองและเป็นรองผู้อำนวยการกับประธานองค์กรแพทย์ก็จะไปดูผู้ป่วยช่วงบ่ายให้โดยไม่ต้องบอกหรือขอให้ไปและคุณหมอก็จะโทรไปบอกพยาบาลหอผู้ป่วยเลยว่าถ้ามีปัญหาอะไรให้ตามเขาได้เลยไม่ต้องตามผมก็ได้ สำหรับน้องอีก 3 คนไม่ว่าจะเป็นหมอศิวดล(ดล) หมอคุณากร(แอ๊ด) หมอกิตติมา(หมอป๋อง)ก็เช่นกัน มีอัธยาศัยใจคอที่ดี มนุษยสัมพันธ์เยี่ยมกับทั้งเจ้าหน้าที่และผู้ป่วย แล้วทั้งสามคนก็จะช่วยเหลือกันดีมาก แถมตอนเย็นยังทำกับข้าวกินกันเองอีกด้วย เมื่อความสัมพันธ์ต่อกันดีแล้ว งานก็ดีตามไปด้วย ยิ่งช่วงนี้ผมมักจะถูกเชิญให้ไปเล่าประสบการณ์บ่อย น้องๆเขาก็จะอยู่กัน 4 คน ผมก็พยายามจะรับบรรยายประมาณสัปดาห์ละครั้ง แต่บางเดือนก็อาจติดพันเรื่องต้องไปประชุมด้วยก็อาจไม่อยู่หลายวันขึ้น ซึ่งน้องๆก็เข้าใจ ไม่ได้มีปฏิกิริยาที่ไม่ดีอะไร ทำให้ผมลดความเครียดไปได้เยอะ เวลาเราไม่อยู่โรงพยาบาลเราก็จะเครียดกังวลว่าน้องจะไม่เข้าใจ แต่บางทีพอเราไม่รับไปบรรยายก็อาจถูกมองว่าเล่นตัวบ้าง ไม่แบ่งปันช่วยเหลือกันบ้าง พอปฏิเสธก็เครียดอีก แต่หลายงานก็จำเป็นต้องปฏิเสธเพราะน้องๆเขาอาจไปประชุมบ้าง ลาบ้าง เราก็ต้องให้เขาไปด้วย  กลับมาเรื่องดูแลผู้ป่วยในต่อก็จะพยายามพูดคุยกับคนไข้ให้มาก บันทึกสิ่งที่ได้ลงใบตรวจเยี่ยมอาการ วางแผนการรักษาเพื่อสื่อให้พยาบาลเข้าใจและอธิบายให้คนไข้รู้ โดยเวลาผมดูผู้ป่วยก็จะอนุญาตให้ญาติอยู่ได้ 1 คนเพื่อจะได้ทราบเกี่ยวกับคนไข้ แต่บางทีก็อยู่หลายคนเพราะญาติก็อยากรู้เกี่ยวกับคนไข้  แต่หากมองไปอีกทีการให้ญาติอยู่หลายคนก็อาจทำให้เปิดเผยประวัติคนไข้รายอื่นๆได้เพราะเวลาเราพูดคุยซักถามคนไข้ก็ไม่ได้ปิดม่านทุกเตียง เตียงใกล้ๆกันก็จะได้ยินและรู้ว่าเป็นอะไรก็เสี่ยงเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นโรคบางโรคเราก็จะไม่พูดเรื่องโรคออกไป เท่าที่จำได้ก็จะมีผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่เป็นโรคถุงลมโป่งพอง 8 เตียง เบาหวานที่มีน้ำตาลสูงหรือต่ำเกิน 3 เตียง(พบว่าเกิดจากการกินอาหารไม่ถูกประเภท ไม่ถูกเวลาและไม่ถูกปริมาณ)  อัมพฤกษ์ 2 เตียง(ไม่เคยตรวจร่างกายเลยอยู่ๆก็วูบไปแล้วอ่อนแรงและมีความดันสูง ไม่มีอาการเลยไม่ได้ตรวจและก็ไม่รู้ว่าเป็นความดันเลยไม่ได้รักษา)  เวียนศีรษะ 3 เตียง(ทั้งสามรายนอนไม่หลับหรือหลับๆตื่นๆซึ่งพบบ่อยมากที่มาด้วยเวียนหัว) คลอดบุตร 2 เตียง และที่เหลือก็เป็นโรคอื่นๆเช่นท้องเสีย กรวยไตอักเสบ เป็นต้น จะสังเกตเห็นว่าผมจำโรคคนไข้ได้หมดทุกเตียง(รวมทั้งพยาบาลด้วย) แต่ผมกลับจำชื่อคนไข้เกือบไม่ได้เลยซักเตียงทั้งที่เวลาดูผู้ป่วยจะทักทายชื่อผู้ป่วยทุกเตียง  นี่แหละที่เขาเรียกว่าหมอรู้จักไข้ แต่ไม่รู้จักคน เวลาเรียนหมอเขาก็ให้เรียนแต่คนไข้ คนป่วย คนปกติไม่ได้เรียน ก็เลยติดนิสัยสนใจแต่ไข้ไม่สนใจคน  ผมก็เลยคิดว่าหลักสูตรแพทยศาสตรศึกษาน่าจะต้องปรับเปลี่ยนใหม่ให้นักศึกษาแพทย์ปี 1 ไปเรียนรู้คนปกติ เรียนรู้ชีวิตชุมชน เรียนรู้ความเป็นอยู่ในชุมชนก่อน แล้วค่อยมาเรียนเรื่องภายในตัวคน ชำแหละดูอนาโตมี่ สรีรวิทยาต่างๆหรือเรื่องโรค และทุกปีที่เรียนต้องออกชุมชนอย่างน้อยสัก 2 สัปดาห์ทุกปีจะได้รู้จักคนมากขึ้น เข้าใจคนมากขึ้น ทำให้รู้จักคนด้วยไม่ใช่รู้จักแค่ไข้

                พอดูคนไข้ในตึกเสร็จก็ออกไปที่ผู้ป่วยนอก ห้องตรวจเต็ม 3 ห้อง ห้องฉุกเฉินก็มีหมออยู่แล้ว คนไข้รอประมาณไม่ถึง 10 คน ก็เลยไปเดินราวด์โรงพยาบาลแทน พอตอนกลางวันทีมFacilitatorsของโรงพยาบาลนัดไปกินข้าวกันก็เลยติดตามไปทานกับเขาด้วยที่ครัวเราเอง กินบนศาลากลางน้ำท่ามกลางสายฝน อาหารก็อร่อยดี บรรยากาศสบายๆ พอบ่ายโมงก็กลับมาถึงโรงพยาบาลก็พูดคุยกับพี่ๆที่รับผิดชอบกิจกรรมคุณภาพและกิจกรรม 5 ส เตรียมนำเสนอในรอบสุดท้ายวันที่ 24-25 พฤศจิกายนเพื่อเรียงลำดับใน 5 หน่วยงานว่าใครจะได้ที่เท่าไหร่ จะต้องมีการนำเสนอเนื่องจากผมไม่อยู่ไปราชการที่ออสเตรเลียก็ไม่ได้นำเสนอเองแต่ก็ให้น้องพยาบาลที่เป็นทีม 5 ส นำเสนอแทน พอประมาณบ่าย 3 โมงก็ลงมาดูคนไข้ที่หอผู้ป่วย พอดีเมื่อเช้าคุณแม่ของน้องผู้ช่วยทันตแพทย์ซ้อนมอเตอร์ไซด์แล้วตกลงมาศีรษะกระแทกพื้นไม่ทราบว่าสลบหรือเปล่าให้นอนสังเกตอาการเมื่อเช้าตรวจแล้วไม่มีอาการทางสมองที่ผิดปกติ พอไปตรวจซ้ำก็เหมือนเดิม แต่ญาติๆก็ยังไม่สบายใจอยากจะไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลเอกชนที่พิษณุโลก ก็ได้อธิบายอยู่ตั้งนานเขาก็ยังต้องการไปอยู่ก็ให้แล้วแต่เขา บางอย่างก็มีความเชื่อค่านิยมมาเกี่ยวข้องที่เขาเชื่อมาเป็นสิบปี เรามาพูดกับเขาแค่10-20นาทีจะให้เขาเชื่อเลยคงยาก ก็เลยบอกน้องเขาไปว่าไม่เป็นไรเพื่อความสบายใจก็ไปเถอะพร้อมเขียนใบส่งตัวไปให้ แล้วถ้าไม่มีอะไรอยากจะกลับมาพักฟื้นที่นี่ก็มาหรือหากมีปัญหาอะไรให้โทรมาปรึกษาได้ กว่าจะเสร็จก็เกือบ 4 โมงเย็น ก็ต้องรีบขับรถไปร่วมพิธีเผาศพพ่อของเจ้าหน้าที่อีกคนที่ตัวจังหวัดตาก ไปถึงเกือบไม่ทันก็ได้วางดอกไม้เพลิงพอดี ไม่ทันได้ไปร่วมทอดผ้าบังสุกุล แต่เผอิญไม่ได้เป็นประธานก็เลยไม่มีปัญหาอะไร ในใจก็รู้สึกผิดเหมือนกันที่ไปไม่ทันเพราะน้องคนนี้เป็นคนที่ทำงานดีและก็สนิทกัน พอเสร็จพิธีประชุมเพลิงประมาณ 4 โมง 50 ก็ต้องขับรถต่ออีกประมาณ 180 กิโลเมตรเพื่อไปให้ทันขึ้นเครื่องบินที่สนามบินพิษณุโลกเวลาประมาณ 1 ทุ่ม(คนขับรถมี 4 คน ลา 1 คน ขับไปรพ.น้ำปาดส่งทีมที่ปรึกษา 1 คน ไปส่งผู้ป่วยที่พิษณุโลก 1 คน อีก 1 คนไปส่งเจ้าหน้าที่ร่วมงานเผาศพและอยู่stand by 1 คน ผมก็เลยต้องขับรถเอง) เพื่อจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯไปบรรยายเรื่องการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลที่วิทยาลัยเทคโนโลยีทางการแพทย์กาญจนาภิเษก ถึงโรงแรมประมาณ 4 ทุ่มก็ได้โทรกลับไปหาลูกและภรรยา(ซึ่งปฏิบัติเป็นประจำเมื่อไปพักที่อื่น)แล้วก็เตรียมทบทวนสไลด์บรรยายกว่าจะได้นอนก็ประมาณเที่ยงคืนพอดี ตอนทบทวนสไลด์ก็นั่งดูรายการธรรมะของพระอาจารย์จันทร์เสฏโฐ ทางไทยทีวี 5 ก็ได้อะไรดีๆเยอะมาก คราวก่อนโน้นตอนไปบรรยายที่อยุธยาปลายปีที่แล้วก็ได้ความหมายของคำว่าสมาธิที่แท้จริงมา คราวนี้ได้เรื่องทุนนิยมกับบุญนิยม(จริงๆผมชอบใช้คำว่าธรรมนิยมมากกว่าบุญนิยมเพราะบางแห่งเอาบุญมาขาย หลอกให้ทำบุญบริจาคเงินแล้วจะได้นั่นได้นี่ ส่วนธรรมขายไม่ได้เพราะต้องปฏิบัติจริง) และเรื่องเงิน พรุ่งนี้จะเล่าต่อครับ
หมายเลขบันทึก: 4045เขียนเมื่อ 18 กันยายน 2005 18:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 13:59 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท