การวิจัยเชิงคุณภาพ
ดร.มณฑกานต์ ศิริมา
การที่จะศึกษาความเป็นจริงทางสังคมซึ่งมีความสลับซับซ้อนและมีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่การที่จะเข้าใจธรรมชาติของความเป็นจริงทางสังคมได้อย่างครบถ้วนผู้วิจัยต้องเขาไปศึกษาปรากฏการณ์ทางสังคมและศึกษาสภาพต่างๆ ในสังคมนั้นทั้งหมด เช่นประวัติความเป็นมาของชุมชน สภาพต่างๆ ด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง และศิลปวัฒนธรรม ซึ่งการระเบียบวิธีการศึกษาดังกล่าวเรียกว่า การวิจัยเชิงคุณภาพ
ความหมายของการวิจัยเชิงคุณภาพ
การวิจัยเชิงคุณภาพ หมายถึง การค้นคว้าหรือแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อตอบปัญหาที่ต้องการทราบโดยอาศัยระเบียบวิธีหรือกระบวนการวิจัย ตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ การวิจัยเชิงคุณภาพเน้นที่ผู้วิจัยไปเก็บข้อมูลด้วยตนเอง(หรือผู้ช่วยวิจัย) อย่างละเอียดลึกซึ้งและเก็บข้อมูลได้รอบด้าน เพื่อให้ได้ภาพรวมทั้งหมด จึงเป็นกระบวนการที่ยุ่งยากต้องอาศัยเวลาเข้าใจธรรมชาติของความเป็นจริงของปรากฏการณ์ทางสังคม
- การทำวิจัยเชิงคุณภาพผู้วิจัยต้องมความสัมพันธ์กับผู้ถูกวิจัยอย่างแยกกันไม่ออก
ทั้งนี้เพื่อมุ่งเข้าใจถึงความเป็นจริงทางสังคมจึงต้องอาศัยเวลาเพื่อศึกษาชุมชนและต้องเข้าไปสังเกต แบบมีส่วนร่วม (Participant Observation) และการสัมภาษณ์อย่างละเอียดแบบเจาะลึก (Indepth inteview)ผู้วิจัยต้องเข้าใจธรรมชาติของความเป็นจริงของชุมชนหรือสนามที่จะเข้าไปทำการวิจัย
- การวิจัยเชิงคุณภาพคือการศึกษาปรากฏการณ์จากสภาพแวดล้อมตามความเป็น
จริงในทุกมิติเพื่อให้เกิดความเข้าใจในปรากฏการณ์นั้น
- การวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นการวิจัยภาคสนาม เป็นการศึกษาปรากฏการณ์ทาง
สังคม (Social Phonomena) ในทุกๆด้าน รวมทั้งสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่จะมีอิทธิพลหรือความสัมพันธ์กับปรากฏการ์ที่เกิดขึ้นด้วย
การวิจัยเชิงคุณภาพ หมายถึง การศึกษาปรากฏการณ์สังคมเพื่อทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทั้งหมดโดยอาศัยข้อมูลที่เกดขึ้นในชุมชนนั้นเป็นสำคัญ การวิจัยเชิงคุณภาพจึงเป็นการวิจัยที่จะทำความเข้าใจภาพรวมทั้งหมดของปรากฏการณ์สังคมที่ผู้วิจัยต้องการศึกษานั่นเอง
วัตถุประสงค์ของการวิจัยเชิงคุณภาพแสวงหาทางที่จะควบคุม (Control) ให้เป็นไปตามที่ต้องการ
ปรากฏการณ์จะนำไปสู่คำทำนายได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น การที่เราจะเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์หรือปรากฏการณ์ทางสังคม เราต้องเข้าใจธรรมชาติของปรากฏการณ์ทางสังคมด้วยเพราะเหตุผลดังนี้
2.1 ปรากฏการณ์ทางสังคมที่มีลักษณะเป็นพลวัต (Dynamic) หมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นใน
สังคมมนุษย์จะไม่หยุดนิ่ง จะต้องเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
2.2 ปรากฏการณ์ทางสังคมมีลักษณะเป็นการพัฒนาทางประวัติศาสตร์ (Historical
development) สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากเหตุและผล (cause and effect)
2.3 ปรากฏการณ์ทางสังคมมีลักษณะที่ไม่มีแบบแผนที่ตายตัว (nonorganized
pattern)
2.4 ปรากฏการณ์ทางสังคมมีลักษณะเป็น 2 มิติ คือ อัตวิสัย เป็นการมองโดยใช้ตนเอง
เป็นหลัก หรือถือตนเป็นใหญ่ และภาวะวิสัยหรือวัตถุวิสัย เป็นการมองโดยยึดหลักความเป็นนอกทัศนะของตนเอง ดังนั้นการมองสิ่งเดียวกันของบุคคลหลายคนอาจจะมีทั้งลักษณะอัตวิสัย และภาวะวิสัย จึงเกิดขึ้นเป็นการมองที่แตกต่างกันหรือมองต่างมุม
2.5 ปรากฏการณ์ทางสังคมอาจสะท้อนให้เห็นจากหน้าที่ทางสังคม คนเราต่างก็มีหน้า
ที่ต่อสังคม ตามสถานภาพและบทบาทที่เป็นอยู่
- การวิจัยเชิงคุณภาพมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การเข้าใจปรากฏทางสังคม การที่จะทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทางสังคมได้ดีต้องเข้าใจปรากฏการณ์บนพื้นฐานหรือธรรมชาติที่เกิดขึ้น
ลักษณะของการวิจัยเชิงคุณภาพ
การศึกษาเกี่ยวกับปรากฏการณ์ซึ่งมีธรรมชาติของการเกิดปรากฏการณ์ในลักษณะต่างๆ จึงต้องพิจารณาอย่างรอบด้านเพื่อหาความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น จึงควรทำความเข้าใจถึงลักษณะที่เป็นกรอบของการวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งสรุปได้ดังนี้
(holistic approach) เป็นการศึกษารายละเอียดของส่วนต่างๆ ที่ประกอบเข้ามาเป็นสังคม สัมพันธภาพที่ประกอบเข้ามาเป็นสังคมเรียกว่าโครงสร้างของสังคม (social structure) และภายในสังคมนั้นจะมีการทำหน้าที่หรือบทบาทอยู่อย่างเป็นระบบ และระบบย่อยต่างๆ ก็ทำหน้าที่ต่อเนื่องไปเพื่อความอยู่รอดของสังคมนั้นๆ ได้แก่ ระบบเศรษฐกิจ ระบบสังคม ระบบการเมือง ระบบศาสนาและความเชื่อ เป็นต้น
ชาติ (natural setting) ผู้วิจัยต้องใช้สภาพธรรมชาติเป็นแหล่งศึกษา ผู้วิจัยต้องไปอาศัย (หรือฝังตัว) อยู่ในชุมชน(หรือสนาม) ที่ตนศึกษาอยู่เป็นแรมปี หรือจนกว่าจะเป็นเสมือนสมาชิกของชุมชนนั้น การพักอาศัยในชุมชน การพูดคุย สัมภาษณ์ และการเก็บข้อมูลตามความเป็นจริงของสภาพแวดล้อมที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์นั้น จะช่วยให้เข้าใจสภาพแวดล้อมที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์นั้น จะช่วยให้เข้าใจสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติอย่างแท้จริง
3. ลักษณะของการวิจัยเชิงคุณภาพเป็นเป็นแบบพรรณนาและการวิเคราะห์ แบบอุปนัย จะต้องศึกษาสภาพชุมชนนั้นอย่างละเอียดทุกแง่มุม ตั้งแต่สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ของชุมชนและโครงสร้างของสังคมจึงต้องใช้วิธีการบรรยายหรือพรรณนารายละเอียดได้
ต้องเข้าไปสังเกตและมีส่วนร่วมในชุมชนที่ตนศึกษา เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลที่ตรงตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น นั้นก็คือการมองในลักษณะของนักมานุษวิทยา คือ การมองสังคมที่ศึกษาแบบสายตาของคนในชุมชนเอง (ซึ่งเรียกว่า EMIC) ไม่ใช่มองจากสายตาของบุคคลภายนอก (ETIC)
กัน ในฐานะที่ผู้วิจัยเชิงคุณภาพต้องออกไปสู่ชุมชนอาศัยอยู่เป็นเวลานานเพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสังคมจึงต้องเรียนรู้จากชาวบ้านและสัมผัสกับชาวบ้าน ผู้วิจัยจะต้องปรับบุคลิกและท่าทางที่เป็นมิตรกับชาวบ้านหรือมองผู้ถูกวิจัยอยู่ในระดับเดียวกันในฐานะความเป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน ไม่ใช่เป็นการเอาเปรียบผู้ถูกวิจัยหรือไม่ใช่ “การกระทำแบบตีหัวแล้ววิ่งหนี” (Hit and Run) “ (แสวง รัตนมงคลมาศ 2523 :315-334) เช่น การเก็บข้อมูลเมื่อแรกเข้าไปในชุมชนโดยไม่ทำความรู้จักหรือสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชาวบ้านก่อน เมื่อได้ข้อมูลแล้วก็ไม่ปรากฏตัวหรือไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านอีกเลย เป็นต้น ผู้วิจัยจึงต้องทำตนเสมือนหนึ่งสมาชิกของสังคมนั้น จึงจะทำให้ผู้วิจัยเข้าใจถึงพฤติกรรมและสิ่งที่กำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ได้
เมื่อผู้วิจัยได้เข้าไปอยู่ในสนาม (สนามในที่นี้อาจเป็นหมู่บ้านในชนบทหรือในเมืองก็ได้) ผู้วิจัยจะต้องกำหนดรูปแบบในใจไว้ว่าจะทำอะไรก่อนหลังโดยต้องคำนึงถึงพื้นที่และความเหมาะสม แต่โดยทั่วไปแล้วผู้วิจัยจะต้องอาศัยอยู่ในชุมชนและเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ เท่าที่จำเป็น ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการยอมรับจากคนในชุมชนว่าเรา (ผู้วิจัย) เป็นเสมือนหนึ่งสมาชิกของชุมชนนั้น การปฏิบัติเช่นนี้ก็เพื่อจะนำไปสู่เป้าหมายของการวิจัยคือความสมบูรณ์ของการวิจัยในปั้นปลายนั่นเอง
กระบวนการวิจัยเชิงคุณภาพ
การวิจัยเชิงคุณภาพมีกระบวนการหรือขั้นตองต่างๆ ที่ยืดหยุ่นเพราะเป็นการค้น
หาข้อเท็จจริงจากสังคมหรือในชุมชนหนึ่ง ปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นจึงมีความเป็นมา ซึ่งเคยกล่าวมาแล้วว่ามีพัฒนากรทางประวัติศาสตร์ ผู้วิจัยจึงต้องใช้เวลาในการศึกษา เพื่อให้เข้าถึงความรู้ที่แท้จริงใจสิ่งที่ต้องการศึกษา (Insider s view) กระบวนการวิจัยเชิงคุณภาพจะพิจารณาตามลำดับดังนี้
******** ขอให้โชคดีนะค่ะ *********
หากข้อมูลผิดพลาดตรวจสอบข้อมูเพิ่มเติมด้วยค่ะ
เป็นการสรุปที่อ่านแล้วเข้าใจง่ายครับ