การประเมินคุณภาพน้ำ โดยการตรวจวัดปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำด้วยเครื่องมือและเทคนิคง่ายๆ เป็นวิธีที่นิยมใช้ในการประเมินคุณภาพน้ำเบื้องต้นสำหรับอาสาสมัครเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ ที่ทำให้ทราบว่าคุณภาพน้ำเป็นอย่างไร มีปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำเพียงพอต่อการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำมากน้อยหรือไม่เพียงใด หรือมีปริมาณสารอินทรีย์และสิ่งสกปรกอยู่มากน้อยเท่าใด
ควันหลงจากการเข้าค่ายวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อมเมื่อวันที่ 16-17 กันยายน 2553 ที่โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๗๔ เป็นการเข้าค่ายของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ 5-6 ของโรงเรียนในตำบลกำโลน ผู้เข้าร่วมโครงการ 200 กว่าคน วันแรกเป็นการสำรวจแหล่งน้ำมีการตรวจคุณภาพของน้ำ ทั้งการสังเกตสิ่งมีชีวิตในน้ำ สอบถามจากภูมิปัญญาในท้องถิ่น และ การตรวจสอบคุณภาพของน้ำแบบพื้นฐานเช่น การวัดความลึก ความเร็วของกระแสน้ำและความเป็นกรดและเบสของน้ำ
แต่คนพิเศษของครูดาวเรืองกลุ่มนี้ยังติดอกติดใจกับการหาค่าออกซิเจนในน้ำ โดยให้เหตุผลว่า ไม่ได้เป็นพระเอก นางเอกเต็มตัว เพราะต้องแบ่งหน้าที่กับนักเรียนโรงเรียนอื่นๆด้วย ครูดาวเรืองจึงติดต่อขอชุดทดสอบคุณภาพของน้ำจากเจ้าหน้าที่กระทรวงสิ่งแวดล้อมที่เคยมาเป็นวิทยากรพี่เลี้ยงในการเข้าค่ายนักสืบสายน้ำ ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่ง
ครูดาวเรืองจึงจัดวันพิเศษให้กับคนพิเศษของเราขึ้นในวันนี้ วันปิดภาคเรียนที่สนุกสุขสันต์ เราได้เรียนรู้ไปด้วยกันระหว่างครูกับนักเรียน ไม่ต้องแข่งขันกับเวลา ไม่ต้องรีบเร่งกับการทำเอกสาร ได้พูดคุยเสียงดัง โต้เถียง แลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยไม่ต้องเกรงใจห้องใกล้เคียง เราทดลองซ้ำๆจนพอใจ เข้าใจ และสรุปองค์ความรู้ได้
เราใช้ห้องสมุดในการพูดคุยทำความเข้าใจในเรื่องที่จะทดลอง แนะนำอุปกรณ์ สารเคมี วิธีการทดลอง และแบ่งกลุ่มไปเก็บตัวอย่างน้ำจากคลองหลังโรงเรียนในจุดต้นน้ำ จุดที่มีบ้านเรือนหนาแน่น และ จุดใกล้ตลาดสด มีใบความรู้ให้กับนักเรียนดังนี้
การหาค่าออกซิเจนละลายในน้ำ
(Dissolved Oxygen)
อุปกรณ์ 1. กระบอกเก็บตัวอย่างน้ำ
2. บีโอดี ขนาด 300 มิลลิลิตร
3. ขวดแก้วชมพู่ มีขีดชัดเจนที่ 100.71 มิลลิลิตร
4. เข็มฉีดยา ขนาด 10 มิลลิลิตร
สารเคมี
1. แมงกานีสซัลเฟต
2. แอลคาไลด์ไอโอไดด์เอไซด์
3. กรดซัลฟูริก
4. น้ำแป้ง
5. สารละลายมาตรฐานโซเดียมไธโอซัลเฟตเข้มข้น 0.0125 นอร์มัล
6. กระบอกเก็บตัวอย่างน้ำ อุปกรณ์และสารเคมีวิเคราะห์
วิธีการวิเคราะห์ปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำ
(Dissolved Oxygen)
1.หย่อนกระบอกเก็บตัวอย่างน้ำซึ่งมีขวด บีโอดี อยู่ภายในลงไปในน้ำที่ความลึกประมาณ 50- 100 ซม. หรือที่ความลึกประมาณกึ่งกลางของแหล่งน้ำ รอจนกระทั่งน้ำเต็ม กระบอกเก็บตัวอย่างน้ำสังเกตได้โดยไม่มีฟองอากาศลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ
2.ดึงกระบอกเก็บตัวอย่างขึ้นมาจากน้ำ เปิดฝากระบอกออกแล้วนำจุกแก้วปิดขวดบีโอดี ขณะที่ขวดบีโอดียังจมอยู่ในน้ำของกระบอกเก็บตัวอย่างน้ำก่อน (เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำในขวดบีโอดี สัมผัสกับอากาศภายนอก)
3.ดึงขวดบีโอดีขึ้นมาจากกระบอกเก็บตัวอย่างน้ำ
4.เคาะหลอดสารละลายแมงกานีสซัลเฟต (เบอร์ 1) 1 หลอดเบาๆ เพื่อให้สารละลายลงมาอยู่ที่ก้นหลอด
5.ใช้กระดาษทิชชู่พันรอบแถบสีขาวบริเวณคอคอดหลอดสารละลาย จากนั้นจึงหักคอหลอดสารละลายตรงรอยแถบสีขาวของหลอดให้แยกออกจากตัวหลอด
6.เปิดจุกขวดบีโอดี ค่อยๆรินสารละลายแมงกานีสซัลเฟตลงในขวดบีโอดี โดยจุ่มหลอดสารละลายแมงกานีสลงไปใต้น้ำเพื่อป้องกันไม่ให้สัมผัสกับอากาศ
7.เคาะหลอดสารละลายแอลคาไลด์ไอโอเอไซต์ (เบอร์ 2) 1 หลอดเบาๆ เพื่อให้สารละลายลงมาอยู่ที่ก้นหลอด แล้วใช้กระดาษพันรอบแถบสีขาวบริเวณคอหลอดจากนั้นจึงหักคอคอดหลอดสารละลายตรงรอยแถบสีขาวของหลอดให้แยกออกจากตัวหลอด แล้วเปิดจุกขวดบีโอดี ค่อยๆจุ่มหลอดสารละลายแอลคาไลด์ไอโอไดด์เอไซต์ลงใต้ผิวน้ำในขวด
8.ปิดขวดบีโอดีแล้วพลิกขวดไปมา 15 ครั้งจะเห็นตะกอนสีน้ำตาลเกิดขึ้น
9.ตั้งทิ้งไว้ให้ตกตะกอนจนได้ส่วนบนเป็นน้ำใสไม่น้อยกว่าครึ่งขวด
10.เคาะหลอดกรดซัลฟิวริก (เบอร์ 3) 1 หลอดเบาๆ เพื่อให้กรดซัลฟิวริกลงมาอยู่ที่ก้นหลอดแล้วใช้กระดาษทิชชู่พันรอบแถบสีขาวบริเวณคอคอดของหลอดสารละลาย จากนั้นจึงหักคอคอดหลอดสารละลายตรงรอยแถบสีขาวของหลอดให้แยกออกจากตัวหลอด ระมัดระวังอย่าให้กรดซัลฟิวริกสัมผัสร่างกายแล้วเปิดจุกขวดบีโอดีค่อยๆรินกรดซัลฟิวริกโดยแตะปากหลอดที่บริเวณปากขวด บีโอดี
11.ปิดจุกขวดบีโอดีก่อนที่ตะกอนจะลอยออกจากปากขวดพลิกขวดไปมาจนกระทั่งตะกอนละลายจนหมด จะได้สารละลายที่มีสีเหลือง
12.เทสารละลายสีเหลืองจาก (ข้อ 11) ใส่ขวดตวงละเอียดจนถึงขีดที่กำหนดไว้ (100.7 มิลลิลิตร) แล้วจึงค่อยเทสารละลายใส่ขวดแก้วรูปชมพู่
13.ใช้เข็มฉีดยาดูดสารละลายมาตรฐานโซเดียมไธโอซัลเฟต (Na2S2O3) (เบอร์ 4) เข้มข้น 0.0125 นอร์มัล จากขวดบรรจุสารละลายขนาดมาตรฐาน จำนวน 10 มิลลิลิตร (ระวังอย่าให้มีฟองอากาศ ถ้ามีฟองอากาศต้องไล่ฟองอากาศออกให้หมด)
14. หยดสารละลายมาตรฐานจากหลอดฉีดยาลงในขวดแก้วรูปชมพู่ทีละหยดพร้อมแกว่งขวดรูปชมพู่เป็นวงตามเข็มนาฬิกาหรือทวนเข็มนาฬิกา เพื่อให้สารละลายผสมเข้ากันจนกระทั่งสารละลายสีเหลืองมีสีจางลง
15.เคาะหลอดน้ำแป้ง (เบอร์ 5) 1 หลอดเบาๆ เพื่อให้น้ำแป้งลงมาอยู่ที่ก้นหลอดแล้วใช้กระดาษทิชชู่พันรอบแถบสีขาวบริเวณคอคอดหลอดน้ำแป้ง จากนั้นจึงหักคอคอดหลอดน้ำแป้งตรงรอยแถบสีขาวของหลอดให้แยกออกจากตัวหลอดแล้วเติมน้ำแป้งลงในขวดแก้วรูปชมพู่จะได้สารละลายสีน้ำเงิน
16.หยดสารละลายมาตรฐานโซเดียมไธโอซัลเฟต (เบอร์ 4) ต่อไปช้าๆ ทีละหยดในขวดแก้วรูปชมพู่ จนสีน้ำเงินจางหายจึงหยุดการหยด
17.อ่านจำนวนสารละลายมาตรฐานโซเดียมไธโอซัลเฟตที่เหลือในเข็มฉีดยาเพื่อคำนวณจำนวนที่ใช้ไปแล้วนำกลับมาหาค่าดีโอ
การคำนวณหาค่าปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำ (DO)
ค่าปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำ (DO)
= 10 – จำนวนสารละลายมาตรฐานที่เหลือในเข็มฉีดยา
หรือ (มิลลิกรัม/ลิตร)
= จำนวนมิลลิลิตรของสารละลายมาตรฐานที่ใช้ไป
ข้อมูลปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำเพื่อการประเมินผลนี้ จึงมีประโยชน์มาก โดยสามารถจัดประเภทของคุณภาพน้ำออกต่างๆ ได้ดังนี้
ตารางที่ 2 ประเภทของคุณภาพน้ำ
ค่าออกซิเจนละลายในน้ำ
|
ประเภทของคุณภาพน้ำ
|
> 7 มิลลิกรัมต่อลิตร
|
จัดว่าแม่น้ำลำคลองนั้นมีคุณภาพน้ำเป็นประเภทที่ 1 คือ เป็นน้ำที่ไม่มีมลพิษ เจือปน เพียงนำมาฆ่าเชื้อด้วยคลอรีนหรือต้มเดือดก็สามารถนำมาใช้ได้
|
> 6-7 มิลลิกรัม ต่อลิตร
|
จัดว่าแม่น้ำลำคลองนั้นมีคุณภาพเป็นประเภทที่ 2 คือ เป็นน้ำที่มีคุณภาพดี เมื่อนำมากวนกับสารส้ม และคลอรีนหรือต้มเดือดก็สามารถนำมาใช้ได้
|
> 4-6 มิลลิกรัมต่อลิตร
|
จัดว่าแม่น้ำลำคลองนั้นมีคุณภาพเป็นประเภทที่ 3 คือ เป็นน้ำที่พอใช้ สามารถใช้ทำน้ำประปาได้ หรือกวนสารส้มและคลอรีนหรือต้มเดือดก็สามารถนำมาใช้ในครัวเรือนต่อไป
|
>2-4 มิลลิกรัมต่อลิตร
|
จัดว่าแม่น้ำลำคลองนั้นมีคุณภาพเป็นประเภทที่ 4 คือ เป็นน้ำที่มีคุณภาพน้ำต่ำเป็นน้ำที่ไม่ควรนำมาใช้ในครัวเรือนหรือแม้แต่จะทำน้ำประปา ถ้าจำเป็นต้องใช้ ก็ต้องมีการตรวจสอบให้แน่ใจก่อน และต้องทำการปรับปรุงคุณภาพน้ำก่อน
|
< 2 มิลลิกรัมต่อลิตร
|
จัดว่าแม่น้ำลำคลองนั้นมีคุณภาพเป็นประเภทที่ 5 คือ เป็นน้ำที่คุณภาพน้ำต่ำมากห้ามใช้ เป็นน้ำที่มีมลพิษมาก ไม่ควรอาบ ว่าย หรือนำมาใช้ในครัวเรือน เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
|
หลังการทดลอง และอภิปรายร่วมกัน และ ทำให้นักเรียนเข้าใจมากขึ้น ว่า เก็บตัวอย่างน้ำและทำการถนอมและรักษาคุณภาพน้ำเพื่อการตรวจวัดปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำสามารถทำได้ง่ายมากกว่าการวัดปริมาณสารอินทรีย์ จึงสามารถใช้ปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำเพื่อประเมินคุณภาพน้ำ เพราะน้ำที่มีคุณภาพดี ไม่เน่าเสียจะมีปริมาณสารอินทรีย์อยู่น้อย แต่มีปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำสูง ขณะที่น้ำที่เน่าเสียจะมีปริมาณสารอินทรีย์อยู่มาก แต่มีปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำต่ำ
การจะทำให้คุณภาพของน้ำในชุมชนของเรามีคุณภาพดีจึงต้องอาศัยความร่วมมือของคนในชุมชน ไม่ทิ้งโลหะมีพิษ เช่น ตะกั่ว แคดเมียม โครเมียม สารกำจัดศัตรูพืช เช่น ยาฆ่าแมลงต่างๆ ลงในน้ำ มลพิษเหล่านี้จะบ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำ และบ่งบอกถึงความเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ ในขณะที่น้ำที่มีการทิ้งขยะ และสารอินทรีย์ต่างๆ จะทำให้ออกซิเจนที่ละลายในน้ำหมดไป น้ำจึงเปลี่ยนเป็นสีดำ บางครั้งส่งกลิ่นเน่าเหม็น และทำให้สิ่งมีชีวิตในน้ำขาดออกซิเจน
ก่อนกลับบ้านในวันนี้ นักเรียนบอกว่าจะนำเรื่องนี้ไปบอกเล่าพ่อแม่ พี่ๆน้อง และจะช่วยกันดูแลแม่น้ำลำคลองของบ้านเราต่อไป
นี่คือความภาคภูมิใจในวันที่สอนพิเศษ กับนักเรียนที่แสนจะพิเศษของครูดาวเรือง
เอกสารอ้างอิง
1. คู่มือ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เล่ม 3 เรื่อง การเฝ้าระวังคุณภาพแหล่งน้ำผิวดิน, 2534. กองอนามัยสิ่งแวดล้อม กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก
2. ดร.เลิศชัย เจริญธัญรักษ์, 2541. วิทยาการระบาดวิทยาสิ่งแวดล้อม คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โรงพิมพ์คลังนานาวิทยา
3. อาสาสมัครพิทักษ์แม่น้ำและลำคลอง, 2544. อาสาสมัครพิทักษ์คุณภาพแม่น้ำและลำคลอง กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก
4. คู่มือ การเฝ้าระวังและติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำเพื่อชุมชนลุ่มน้ำ, 2547. กรมควบคุมมลพิษ ร่วมกับ สถาบันส่งเสริมการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมไทย กรุงเทพมหานคร
ขอขอบคุณ :เพลง แม่น้ำเอย HD และ น้ำคือชีวิต จาก YouTube