เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายนที่ผ่านมา โรงเรียนศิลาทองพิทยาสรรค์ของเราได้รับเกียรติอย่างสูงยิ่ง จากอาจารย์ ดร.พิศิษฐ์ วรอุไร ประธานที่ปรึกษาโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ มาเยี่ยมให้กำลังใจในการทำงาน และพูดคุยกับชุมชนของเรา ท่านแบ่งกลุ่มผู้ฟังออกเป็น ๓ กล่ม เป็นผู้ปกครองนักเรียนและกรรมการสถานศึกษา กลุ่มนักเรียน และครู คำพูดของท่านที่ครูมัสอยากมาเล่าให้ฟังคือ ท่านบอกว่าโรงเรียนของเราสอนนักเรียนได้จิต แล้ว แต่กายยังไม่ได้ ครูมัสก็คิดตามนะคะ และก็เห็นด้วยกับท่าน และยังสงสัยอยู่ว่า เอ..เราอยู่กับมองไม่เห็น และเราจะทำอย่างไรที่จะทำให้เด็กของเรารู้ เกิดปัญญาได้ ครูมัสก็พูดคุยกับครู และบอกให้เพื่อนครูเขียนแผนการจัดการเรียนร้บูรณาการต้นไม้ (ต้นพังคี เป็นต้นไม้ที่เรากำหนดให้นักเรียนศึกษาเรียนรู้ เขียนรายงาน คล้ายงานวิจัยเล็ก ๆ) กับวิถีพุทธ เพื่อให้เด็กเกิดสมาธิ สนใจ และมีความเชื่อว่าจะเกิดปัญญา มีครูคนหนึ่งถามครูมัสว่า จะเขียนอย่างไร ก็ตอบโดยการยกตัวอย่างว่า ถ้านักเรียนเฝ้าดูการเติบโตของพืช และดูสิ่งที่เกี่ยวพันกับพืชชนิดนั้น (อาจารย์ใช้คำว่า สรรพสิ่งล้วนพันเกี่ยว) แล้วนำมามองดูตัวเรา ถ้าเป็นสาระคณิตศาตร์ ดูขนาดของใบ กับสัดส่วนที่เปลี่ยนไป ความสมดุลย์ ศึกษากายภาพ และเขียนบันทึกใช้การคำนวณ การหาพื้นที่ นักเรียนได้สัมผัส เห็น คิด บ่อย ๆ จะจำได้ แต่เมื่อครูมัสมองหน้าเพื่อนครูรู้ว่าไม่เข้าใจ เราเองก็พูดไป พูดมา ชักจะไปกันใหญ่ ก็เลยไปเรียนถามผู้อำนวยการประยงค์ แก่นลา ท่านบอกว่าให้ลองใหม่ ท่านเองก็ช่วยด้วยโดยการประชุมแล้วพูด ยกตัวอย่าง ให้หลากหลาย เดี๋ยวนี้ ครูมัสจับกลุ่มเพื่อนครูคุยกันบ่อยมาก ใช้เวลาพักกลางวัน หรือหลังเลิกเรียน คุยกันเรื่องการสร้างปัญญา สนุกนะคะ หลาย ๆ คน หลาย ๆ กลุ่ม หลายความคิด ขณะนี้ก็กำลังพยายามทดลองใช้เทคนิคการเล่าเรื่องย้อนหลัง ความทรงจำที่ดี ดี แต่ยังอยู่กลุ่มเล็ก ประมาณ ๕-๘ คน (กลุ่มอายุใกล้เคียงกัน ๒๖ - ๓๕ ครูมัสแก่ที่สุด) ไม่ทั้งโรงเรียน บางครั้งครูก็ล้านะคะ ครูมัสพบว่า ถ้าผู้นำอารมณ์ดี บรรยากาศการทำงานก็น่าอยู่ นะคะ เพื่อน ก็กล้าพูด กล้าคุย กล้าแสดงความคิดเห็น นั่นก็หมายถึงนักเรียนด้วยคะ ในฉบับนี้มีภาพบรรยากาศ โรงเรียนมาอวด
ครูมัส
ครูมัสกรุณาเล่าเรื่องที่ที่ครูจับกลุ่มคุยกัน ได้ไหมครับ เล่าให้เป็น "เรื่องเล่า" นะครับ
วิจารณ์