หลังจากลูกคนที่สองของผมเรียนจบชั้น ม.ปลาย เธอก็เลือกสอบเข้าเรียนต่อคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เอกภาษาญี่ปุ่น เรียนจบแล้วก็เข้าทำงานกับบริษัทญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ อยู่ระยะหนึ่ง งานที่ทำก็หนักมาก วันหนึ่งทำกว่า ๑๐ ชั่วโมง ทำโอทีกลับบ้านดึกเกือบทั้งปี แต่ก็แลกกับค่าตอบแทนที่สูงพอจะเก็บเงินได้เพียงพอเป็นทุนขั้นต้นในการส่งตนเองไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นได้โดยไม่ขัดสนมากนัก อาศัยน้าชายคนหนึ่งที่พอมีฐานะกรุณาช่วยลงนามรับรองค่าใช้จ่ายตอนสมัครเรียนในมหาวิทยาลัยในโตเกียวและในการยื่นขอวีซ่านักศึกษาจากสถานทูตญี่ปุ่น และด้วยความกรุณาของญาติสนิทมิตรสหายของผมที่ช่วยกันลงขันสมทบให้อีกจำนวนหนึ่ง โดยมิตรสหายให้เหตุผลว่าเขาชอบเด็กที่มีความคิด มีความมุ่งมั่น
เมื่อมีทุนประเดิมขั้นต้นพอที่เธอมั่นใจว่าพอจะไปเริ่มต้นใช้ชีวิตนักศึกษาที่โตเกียวได้ โดยตั้งใจว่าจะเรียนไปด้วยทำงานส่งเสียตนเองไปพร้อมกันด้วย จะรบกวนทางบ้านให้น้อยที่สุด เพราะรู้ว่าครอบครัวเราในขณะนี้ยังมีภาระเรื่องน้องที่ยังเรียนอยู่ ที่สำคัญคือได้ร่วมกันประเมินแล้วพบว่าครอบครัวเรายังไม่อยู่ในฐานะที่จะส่งลูกเรียนต่อในประเทศอย่างญี่ปุ่นที่ค่าเรียนและค่าครองชีพสูงระดับต้นๆ ของโลกได้ แต่เธอก็มีความปรารถนาแรงกล้ามาก ทั้งผมและภรรยาก็ห่วงใยเป็นธรรมดาในฐานะพ่อแม่ แต่ก็ภูมิใจในความมุ่งมั่นและความกล้าหาญของลูกสาวคนนี้มาก จึงสนับสนุนการตัดสินใจของเธอ
คนต่างชาติหางานทำในต่างประเทศ โดยเฉพาะโตเกียว ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่เมื่อสมัครไปหลายๆ ที่โดยไม่เลือกงาน ขอให้ได้ทำงาน ก็ได้งานแรกทำตอนเย็นหลังกลับจากเรียนหนังสือ เป็นงานในร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้ๆ อพาร์ทเมนต์ที่เช่าพักอยู่ชานกรุงโตเกียว (ถ้ากลางกรุงค่าเช่าแพงกว่า) อยู่ในระยะทางที่สามารถเดินด้วยเท้าไปถึงที่ทำงานได้ แรกๆ ก็ได้รับมอบหมายให้ล้างจาน เช็ดถู ทำความสะอาด และช่วยกุ๊กทำอาหารในครัว ซึ่งเธอก็ทำด้วยความอุตสาหะ หนักเอาเบาสู้ ด้วยรู้ว่าชีวิตนักศึกษาต่างแดนที่ไม่ได้ไปด้วยทุนการศึกษาใด และก็ไม่ได้ไปจากครอบครัวที่ร่ำรวยจากเมืองไทย เป็นชีวิตที่ต้องกัดฟันช่วยตัวเองให้มากที่สุดจึงจะอยู่ได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะค่าเรียนก็สูงกว่าบ้านเรามาก เทอมหนึ่งห้าแสนกว่าเยน เทียบเป็นเงินไทยก็เกือบสองแสนบาท ไหนจะค่าเช่าที่พัก ค่ากิน ค่าเดินทางจากบ้านไปมหาวิทยาลัย ฯลฯ เธอบอกว่าทั้งเรียนทั้งทำงานทำให้น้ำหนักตัวลงลงไปกว่า ๒ กิโล การเรียนโดยใช้ภาษาญี่ปุ่นกับนักศึกษาญี่ปุ่นเป็นงานที่หนักมากในปีแรกๆ แม้จะจบเอกภาษาญี่ปุ่นไปจากเมืองไทย แต่เธอก็สร้างความประหลาดใจให้ครอบครัวเราเมื่อวิชาหนึ่งของเทอมแรกเธอสอบได้ ๑๐๐ คะแนนเต็ม (วิชาสถิติ)
เธอโชคดีที่เจอพ่อครัวในร้านอาหารเป็นคนใจดี เขาก็เป็นลูกจ้างเหมือนกัน ให้ความรักความเมตตา ใช้งานไปด้วย สอนวิธีทำอาหารญี่ปุ่นให้ไปด้วย จนทำเป็นหลายอย่าง ที่เธอบอกว่าชอบมากก็คือวิธีจัดอาหารในจานที่มีศิลปมาก ทุกจานต้องจัดให้ดูดีตามแบบฉบับ สวยงามเหมือนในภาพโฆษณาหน้าร้าน และในแผ่นพับที่แจก คนญี่ปุ่นมีสุนทรียในการกิน
ทำไปได้ระยะหนึ่ง พอภาษาในการสื่อสารเกี่ยวกับกิจการร้านอาหารเริ่มคล่องขึ้น ผู้จัดการร้านจึงให้ช่วยเป็นพนักงานเสริฟด้วย ก่อนนั้นเขาไม่กล้าให้ทำ กลัวฟังไม่ชัดแล้วรับออร์เดอร์ผิด หรือสื่อสารไม่เข้าใจ จึงให้อยู่ในครัวเป็นหลัก
ทำอยู่ได้ปีหนึ่ง ร้านอาหารนั้นปิดกิจการลง ก็ได้อาศัยประสบการณ์จากร้านแรกไปอ้างอิงสมัครเข้าเป็นพนักงานเสริฟอีกร้านหนึ่ง แบบไม่ตกงานเลยแม้แต่วันเดียว ร้านใหม่นี้เจ้าของคนเดียวดูแลเองทุกอย่าง ไม่เหมือนอย่างร้านแรกที่เป็นบริษัท แต่ร้านใหม่นี้ก็มีพนักงานหลายคน พนักงานชาวต่างชาติจากเกาหลีก็มี ลูกสาวผมเป็นพนักงานที่เป็นคนไทยคนแรกที่ได้เข้าทำงานร้านนี้
เดือนแรกที่ลูกสาวผมเข้าทำงานร้านใหม่นี้ เขาจ่ายค่าจ้างเป็นเงินสด กลับมาถึงบ้าน นับเงินไป คำนวนจำนวนชั่วโมงที่ได้ทำงานไป พบว่าเขาจ่ายมาเกินค่าจ้างที่ควรได้รับมาหลายพัน ไม่รู้ว่าคำนวนผิดหรือนับผิดหรือเพราะเหตุไร
วันรุ่งขึ้นพอไปถึงร้านที่ทำงาน ลูกสาวผมก็นำเงินส่วนที่เกินมาไปคืนให้เจ้าของร้าน เจ้าของร้านดูจะประทับใจมาก ท่าทีที่เปลี่ยนไปอันดับแรกก็คือ เปลี่ยนสรรพนามที่เรียกลูกสาวผมเป็นแบบที่เคารพขึ้น ทำนองมีคำว่า คุณ อยู่ด้วย คือไม่รู้สึกว่าเรียกชื่อแบบเด็กอีก เจ้าของร้านที่พนักงานมักเรียกว่า มาม่าซัง (คุณแม่) ถามลูกสาวผมว่า ยังมีเพื่อนที่เป็นคนไทยอยากทำงานร้านอาหารอีกหรือเปล่า หากมีขอให้พามาสมัครอีกนะ
หลังจากนั้นลูกสาวผมก็ได้รับความไว้วางใจจากเจ้าของร้านนี้ มาม่าซังยังจัดเวลาทำงานที่หลบกับเวลาเรียนให้ด้วย จนถึงทุกวันนี้เธอก็ยังทำงานอยู่ร้านนี้ เธอบอกว่าแม้งานจะหนัก เรียนก็หนัก แต่ก็มีความสุขตามสมควร
ครอบครัวผมก็ยินดีกับเธอ และก็ภูมิใจที่เธอมีส่วนช่วยสร้างชื่อเสียงให้คนไทยจากเรื่องที่เล่ามา แต่นั่นก็ไม่เท่ากับความภูมิใจที่ครอบครัวเรามีต่อเธอ ผมเองเชื่อว่า คนซื่อตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ และสอนลูกทุกคนเสมอให้ฝึกฝนตนเองในคุณธรรมเรื่องความซื่อสัตย์นี้ให้ดีไปตลอดชีวิต
คุณธรรมข้อนี้นอกจากทำให้คนอื่นไว้วางใจเราแล้ว ที่สำคัญกว่าก็คือตัวเราเอง ที่เกิดความภาคภูมิใจในตนเอง สง่าผ่าเผยได้ในทุกเวลาและสถานที่ ไม่เคยต้องคอยหลบตาใคร ไม่ว่าในบ้านหรือนอกบ้าน จะรู้สึกเคารพในศักดิ์ศรีของตนเอง นับถือตนเองได้อย่างสนิทใจ.
สุรเชษฐ เวชชพิทักษ์
๓๐ ก.ย.๒๕๕๓
ป่าป๊า ขอบคุณค่า
เป็นของขวัญวันเกิดที่ดีใจที่สุดเลยค่ะ...
ยินดีด้วยค่ะ คุณมีลูกสาวที่น่าชื่นชมมาก
สวัสดีค่ะ
ยังมีเพื่อนที่เป็นคนไทยอยากทำงานร้านอาหารอีกหรือเปล่า หากมีขอให้พามาสมัครอีกนะ
อ่านแล้วภูมิใจมากค่ะ ขอชื่นชมด้วยใจจริงค่ะ
บันทึกเรื่องนี้สอนอะไรหลายอย่าง...
ผมเชื่อมั่นในเด็กรุ่นใหม่เสมอมา ลึก ๆ แล้วมีศรัทธาว่า พวกเขาเกิดมาในยุคสมัยนี้เพราะมี "เจตจำนงที่ชัดเจน" เพื่อกอบกู้โลก นำพาสังคม ฝ่าวิกฤตนานาประการที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรุนแรงและเป็นพลวัตร
พวกเราในฐานะผู้ใหญ่จะต้องช่วยกันส่งเสริมพลังสร้างสรรค์ให้กับพวกเขา เรื่องเล่าดี ๆ แบบนี้ คือส่วนหนึ่งของพลปัจจัย ครับ.
ขอบคุณ ยุ้ย เมื่อ 23 ตุลาคม 2553 10:55
ยายคิม เมื่อ 23 ตุลาคม 2553 11:22
และ ไอศูรย์ เมื่อ 27 ตุลาคม 2553 08:27
โดยเฉพาะไอศูรย์ที่กรุณาวิเคราะห์และแสดงความเห็นที่เปี่ยมด้วยเมตตาต่อคนรุ่นใหม่ อ่านแล้วได้พลังครับ
อ่านแล้วนำ้ตาคลอในฐานะคนเป็นพ่อแม่ จิตสำนึกที่ดีงามจะช่วยคุ้มครองลูกได้เป็นอย่างดี ขอชื่นชมทั้งครอบครัวเลยค่ะ
ขอบคุณพิณ Long time no see จริงๆ
สุขสันต์วันคริสต์มาสและปีใหม่นะครับ