"....การต้องการในเมืองเราในเวลานี้ เป็นที่ต้องการสำคัญ คือ คอนเวินเมนต์ รีฟอร์ม(การปฏิรูปการปกครอง) จำเป็นที่จะให้พนักงานของราชการแผ่นดินทุกๆกรมทำการให้ได้เนื้อตามหน้าที่ และให้ได้ประชุมปฤกษาหารือกันทำการเดินให้ถึงกันโดยง่าย โดยเร็ว ทำการรับผิดชอบในหน้าที่ของตัว หลีกลี้ไม่ได้ นี่เป็นความต้องการหนึ่ง ..รวมความก็อย่างเดียวคือคอนเวินเมนต์ รีฟอร์ม(การปฏิรูปการปกครอง)นี่แหละเป็นต้นเหตุที่จะจัดการทั้งปวงได้สำเร็จตลอด ..."
พระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตอบคำกราบบังคมทูลของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนเรศวรฤทธิ์ฯ ในปี 2435
วันที่20 -21 ก.ย.53 ผมมาเชียงใหม่ ร่วมเวที "ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนงานปฏิรูปประเทศไทยภาคประชาชน(จังหวัดจัดการตัวเอง) 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน" มีการแลกเปลี่ยนบทเรียนการขับเคลื่อนของภาคประชาชนในแต่ละจังหวัดและการนำเสนองานวิชาการครับ
ผมสนใจบทเรียน "การขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศไทยด้วยจัดการตัวเอง" ซึ่งทางภาคเหนือตอนบนกำลังให้ความสนใจแนวทาง "การปฏิรูปประเทศไทยด้วยจังหวัดจัดการตัวเอง" ไม่ว่าจะเป็น“เชียงใหม่จัดการตัวเอง” และ “น่านจัดการตัวเอง” ซึ่งกำลังขับเคลื่อนกันอย่างคึกคัก ที่น่านมีการนัดหมายจะจัดเวทีเรื่องนี้ในวันที่1 และ 5 ตุลาคมนี้ครับ ทั้งสองจังหวัดมีประวัติศาสตร์ความเป็นมา มีความเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น มีผู้คนในท้องถิ่นมากมายสนใจเข้าร่วมขับเคลื่อนในเรื่องนี้
การมาร่วมสัมมนาครั้งนี้ นอกจากการแลกเปลี่ยนบทเรียนการขับเคลื่อนของภาคประชาชนในแต่ละจังหวัดแล้ว ขณะเดียวกันผมก็สนใจ บทเรียนการจัดการตัวเองโดยการปกครองของท้องถิ่นในต่างประเทศ ที่นำเสนอโดยภาคีวิชาการด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็นบทเรียนจากทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศษและแคนนาดา ที่นำเสนอโดย อ.ชำนาญ จันทร์เรือง และการทบทวนงานวิชาการว่าด้วยการจัดการตัวเองของชุมชนท้องถิ่น ซึ่งนำเสนอโดย อ.ไพสิฐ พานิชย์กุล จาก มช. ก็น่าสนใจเช่นเดียวกันครับ
จากบทเรียนการปกครองของท้องถิ่นในต่างประเทศ ทำให้ผมคิดถึงข้อเสนอของ อ. อเนก เหล่าธรรมทัศน์ที่เคยเสนอว่าเมื่อพูดถึงประชาธิปไตยควรคำนึงถึงประชาธิปไตย 3 ระดับ นั่นคือ ประชาธิปไตยทางตรง(ประชาธิปไตยชุมชน_เน้นที่ชุมชนท้องถิ่น) ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ(เน้นที่ท้องถิ่น/ภูมินิเวศวัฒนธรรม)และประชาธิปไตยทางอ้อม(แบบเลือกตั้งรัฐสภา_ระดับชาติ) หากจะมีการปฏิรูปต้องมีการปฏิรูปทั้งสามระดับหรือ สามมิติไปพร้อมๆกันจะแก้เพียงส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้
ในวงสัมมนาทุกท่านมีความเห็นสอดคล้องกันครับว่าการจะปฏิรูปประเทศไทยให้ประสบผลสำเร็จนั้น นอกจากการสร้างการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางแล้ว เราจะต้องเรียนรู้จากประวัติศาสตร์การปฏิรูปสังคมของบ้านเรา และเรียนรู้บทเรียนจากต่างประเทศด้วยครับ ทัศนะความคิดเห็นจากวงแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในครั้งนั้น ได้ทำให้ผมมีทัศนะต่อเรื่องนี้ที่กว้างรอบด้านขึ้นครับ
ผมพบว่า หากเราจะวิเคราะห์ปรากฏการณ์การอภิวัฒน์สังคมที่เกิดขึ้น เราจะพบได้ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ๆในสังคมไทยเรามักจะบังเอิญมีแบบแผนการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญๆในห้วงเวลาในแต่ละช่วงเป็นระยะเวลาประมาณ 40 ปี ซึ่งสอดคล้องกับที่ท่านอาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ได้เคยกล่าวปาฐกถาพิเศษ “จินตภาพใหม่ ชุมชนท้องถิ่นจัดการตัวเอง” ในเวทีการสัมมนา “ชุมชนท้องถิ่นจัดการตัวเองสู่การปฏิรูปประเทศไทย” ระหว่างวันที่ 14 กันยายน 2553 ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ ผมได้บันทึกเรื่องนี้ "การอภิวัฒน์สังคม ด้วยการสร้างการเปลี่ยนแปลงจากชุมชนท้องถิ่นฐานราก" ไว้ที่ http://gotoknow.org/blog/suthepkm/394311
"......ครั้นเมื่อล่วงมาถึงปัจจุบัน บ้านเมืองยิ่งเจริญขึ้นกว่าแต่ก่อนหลายเท่า การปกครองอย่างเก่านั้นยิ่งไม่สมกับความต้องการของบ้านเมืองหนักขึ้นทุกที จึงได้มีความประสงค์อันยิ่งใหญ่ที่จะแก้ไขธรรมเนียมการปกครองให้สมกับกาลเวลา ให้เป็นทางที่เจริญแก่บ้านเมือง......."
พระราชดำรัสทรงแถลงพระบรมาธิบายแก้ไขการปกครองแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี 2435
ในเวทีครั้งนี้ได้มีคนเสนอว่าหากจะใช้วงเวลา 40 ปีในการปฏิรูป เราคงต้องมองย้อนไปก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 ย้อนไปอีกเป็นเวลา 40 ปีก่อนหน้านั้นด้วย ซึ่งเราจะพบว่าในปี 2435 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการปฏิรูปการปกครองของไทยครั้งสำคัญ โดยมีสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยที่ดำรงตำแหน่งสำคัญขณะที่อายุยังไม่ถึง 30 ปีด้วยซ้ำ ท่านผู้นี้เป็นกำลังสำคัญในการปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่ของบ้านเราในครั้งนั้น ในครานั้นนอกจากจะมีการปฏิรูปการปกครองในส่วนกลางแล้ว ยังเป็นการปฏิรูปหรือเป็นการเปลี่ยนแปลงของท้องถิ่นครั้งใหญ่ เป็นการเปลี่ยนแปลงของท้องถิ่น จากการปกครองตนเองในลักษณะที่เป็นการปกครองตนเองของหัวเมืองต่างๆและการปกครองตนเองแบบประเทศราชภายใต้สยาม เป็นการปกครองท้องถิ่นแบบรวมศูนย์ของอำนาจรัฐส่วนกลางแบบเบ็ดเสร็จ ที่เรียกกันว่า "ระบบเทศาภิบาล" โดยเป็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจการปกครองตนเองสู่อำนาจระบบบริหารราชการแผ่นดินแบบรวมศูนย์เบ็ดเสร็จ ทั้งนี้โครงสร้างนี้ได้ถูกออกแบบโดยเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานั้นเพื่อป้องกันสยามประเทศให้รอดพ้นจากภัยคุกคามของลัทธิล่าอาณานิคม จึงได้มีการปฏิรูปโครงสร้างการบริหารประเทศให้มีความทันสมัยเพื่อรับกับสถานการณ์ของโลกในขณะนั้น ขณะเดียวกันในห้วงเวลาดังกล่าวก็ได้มีการประกาศเลิกทาสในสยามประเทศเกิดขึ้นด้วย รวมความแล้วการปรับเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจการปกครองเป็น "ระบบเทศาภิบาล" ใช้เวลาจากปี 2435 จนถึงปี 2458 การรวมศูนย์อำนาจรัฐสู่ส่วนกลางแบบเบ็ดเสร็จจึงแล้วเสร็จสมบูรณ์
การรวมศูนย์อำนาจของส่วนกลางโดยส่งเจ้านายที่ได้รับความไว้วางใจจากส่วนกลางไปปกครองท้องถิ่น ก่อให้เกิดการต่อต้าน หรือเกิดกบฏของประชาชนในท้องถิ่นที่ไม่พอใจต่อการถูกปกครอง การไม่ได้รับประโยชน์จากการปกครองของส่วนกลาง หรือได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง เช่น ภาคอีสาน เกิดกบฏเชียงแก้ว พ.ศ. 2334 กบฏโดยพวกข่า เกิดขึ้นหลังจากนโยบายของรัฐที่ขยายอำนาจเข้าไปในภาคอีสาน, กบฏผู้มีบุญ พ.ศ. 2444 – 2445 ได้เกิดจากสภาพชีวิตของราษฎรอีสาน ความผันผวนทางการเมือง และเศรษฐกิจที่ไม่สามารถควบคุมได้ จึงหันไปหาความเชื่อท้องถิ่นเรื่องผู้มีบุญที่จะมาแก้ไขความทุกข์เข็ญให้กับตนเอง ภาคเหนือ เกิดกบฏพญาผาบ พ.ศ. 2432 เกิดจากการเปลี่ยนแปลงการจัดเก็บระบบภาษีหมาก พลู มะพร้าวที่ทำให้ราษฎรต้องเสียภาษีทั้งที่ยังไม่มีการซื้อขาย ทำให้ราษฎรเดือดร้อน ภาคใต้ เกิดกบฏผู้วิเศษ พ.ศ. 2442 – 2454 ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความไม่พอใจต่อการออกข้อบังคับสำหรับปกครองจากส่วนกลาง
".....ฉันต้องการเห็นความร่วมมือแทนที่จะเห็นการแบ่งแยกระหว่างข้าราชการขอเจ้า(เจ้าหัวเมืองท้องถิ่นและประเทศราช)กับเทศาภิบาล(รัฐบาลส่วนกลาง)....ฉันต้องการให้พวกเขาตั้งสภาขึ้นมาให้เหมือนกับอังกฤษใช้ปกครองหัวเมืองมลายู ถ้าไม่แบ่งแยกออกเป็นพวกคนลาว แลให้เขาร่วมมือกับเราได้ แลถ้ามีการปฤกษาหารือกัน แลตัดสินใจกันในสภาแล้วก็ไม่มีทางที่จะที่จะบ่นถึงเรื่องขาดความร่วมมือในกิจการงานของรัฐบาลได้ ..."
นโยบายโดยทั่วๆไปเกี่ยวกับหัวเมืองลาว(หัวเมืองลาวเฉียง(เชียงใหม๋) ลาวพวน(อุดร)และลาวกาว(อุบล))
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯถึงสมเด็จฯกรมพระยาดำรงฯ
เมื่อ 26 สิงหาคม 2442
(จากเตช บุนนาค:การปกครองระบบเทศาภิบาลของประเทศสยามฯ)
ครับ นั่นคือการปฏิรูปในยุคแรก แม้จะประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายในการหลอมรวมความเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ เป็นการบูรณภาพของดินแดนแห่งราชอาณาจักรสยามในเวลานั้น ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้สยามประเทศเรา สามารถรักษาเอกราชไว้ได้ในยุคแสวงหาอาณานิคมของยุโรปได้ รวมทั้งทำให้เกิดการปรับปรุงการบริหารบ้านเมืองให้ทันสมัยทั้งในส่วนระบบการปกครองของรัฐบาลส่วนกลางและการปกครองท้องถิ่นด้วย(เป็นการจัดระบบให้ส่วนกลางได้ปกครองท้องถิ่น มิใช่การสนับสนุนท้องถิ่นปกครองตนเอง) แต่ในขณะเดียวกันการปฏิรูปโดยการรวบอำนาจเข้าส่วนกลางในครั้งนั้น ก็ได้สร้างปัญหาที่เป็นมรดกของปัญหาตกทอดมาถึงยุคปัจจุบันด้วย นั่นคือการสลายความเป็นเอกลักษณ์ อัตตลักษณ์ที่เป็นตัวตนของแต่ละชุมชนท้องถิ่นแล้วให้หลอมรวมเป็นรัฐชาติหนึ่งเดียว ส่งผลถึงความเป็นชุมชนท้องถิ่นที่อ่อนแอ ร่องรอยของปัญหา ร่องรอยของความไม่พอใจ ที่รัฐชาติส่วนกลางได้ก่อไว้จากคราโน้น มันไม่ได้จางหายไปตามกาลเวลาได้เลย หากแต่มันยังคงครุกรุ่น.......จวบจนถึงปัจจุบัน
".....เราปกครองหัวเมืองลาว และหัวเมืองมลายูทั้งเจ็ดค่อนข้างจะผิดไปจากสภาพอันแท้จริง อาจจะกล่าวได้ว่าเรานำแบบการปกครองของต่างประเทศมาใช้ แต่เราใช้ผิดแบบเขาไป.....
เมื่ออังกฤษใช้รูปแบบการปกครองนี้นั้น เขา(ข้าหลวงใหญ่ส่วนกลาง)ให้คำแนะนำปฤกษาแก่ผู้ปกครองท้องถิ่น ซึ่งถือเสมือนเป็นเจ้าของหัวเมืองเหล่านั้น ......ในทางตรงข้าม เรากลับถือว่าหัวเมืองเหล่านั้นเป็นของเรา ซึ่งมันไม่จริง เพราะคนมาลายู และคนลาวเขาจะถือว่าหัวเมืองเหล่านั้นเป็นของพวกเขา เมื่อเราพูดว่าเราไว้วางใจเขา แท้จริงเราก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่เรากลับส่งข้าหลวงและผู้ช่วยไปให้คำปฤกษาแก่พวกเขา แล้วข้าหลวงกับผู้ช่วยที่ได้รับมอบอำนาจไป ก็จะเชิดพวกนี้เป็นหุ่น หรือไม่ถ้าหากทำไม่ได้ก็จะคอยสอดส่องพวกเขา และรายงานความลับของเขาเข้ามา อย่างไรก็ตาม เราแก้ไม่ได้ในเรื่องนี้ ฉันคิดว่าการปกครองที่ไม่ได้ตรงไปตรงมา จะไม่เกิดผลในทางการเชื่อใจกันและกัน แลยังไม่ให้ความสงบทางจิตใจอีกด้วย...."
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทรงจบพระราชหัตถเลขาด้วยข้อความที่ว่าพระองค์ "เสียพระทัยที่ไม่มีทางออกแต่อย่างใด(สำหรับปัญหานี้)ในขณะนี้"
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯถึงสมเด็จฯกรมพระยาดำรงฯ
เมื่อ 21 พฤศจิกายน 2445
(จากเตช บุนนาค:การปกครองระบบเทศาภิบาลของประเทศสยามฯ)
ครับการอภิวัฒน์สังคมหรือการปฏิรูปประเทศไทยมีขึ้นครั้งใหญ่ๆและสำคัญในแต่ละช่วง 40 ปีสรุปได้ดังนี้
1. การปฏิรูปการปกครองของไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 เริ่มจากปี 2435 และมีการเลิกทาสในห้วงเวลาเดียวกัน
2. การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย
3. ยุคการพัฒนาเพื่อประชาชนสู่การพัฒนาของประชาชนและเหตุการณ์การเรียกร้องประชาธิปไตย 14 ตุลาคม 2516
4. ยุคต่อไป จะครบรอบ 40 ปี ในปี 2555 หมอประเวศบอกว่า เป็นยุคการอภิวัฒน์โดยชุมชน หรือ ชุมชนาภิวัฒน์ ส่วน อ.ไพบูลย์บอกว่า เป็นยุคของการปฏิรูปประเทศไทยด้วยการจัดการตัวเองอย่างมีคุณภาพและรอบด้าน ของขบวนชุมชนท้องถิ่น
ครับในยุค การอภิวัฒน์สังคมในยุคการปฏิรูปประเทศไทยด้วยการจัดการตัวเองอย่างมีคุณภาพและรอบด้านของขบวนชุมชนท้องถิ่น ตามที่คาดว่าจะเกิดขึ้นได้ในปี 2555 นั้น จะเกิดขึ้นได้จริงหรือเป็นเพียงวาทะกรรมทางการเมืองก็ตาม แต่เราเองก็น่าจะมีความหวังและร่วมลุ้นนะครับว่า การอภิวัฒน์สังคมในยุคนี้ ในครั้งนี้ ด้วยการปฏิรูปการจัดการตัวเองของชุมชนท้องถิ่นจะเกิดขึ้นได้จริง และเราคงไม่อยากรอการอภิวัฒน์สังคม อีกครั้งในอีก 40 ปีข้างหน้า
ครับการอภิวัฒน์สังคมในแต่ละยุคสมัยตามประวัติสาสตร์การปฏิรูปสังคมบ้านเรา อาจต้องใช้เวลาถึง 40 ปี เราคงไม่อยากรอนานขนาดนั้น ส่วนจะเป็นไปได้แค่ไหนและใช้เวลาเท่าไหร่ เป็นเรื่องของอนาคตที่อยู่ที่ขบวนชุมชนท้องถิ่นและผู้คนจากทุกภาคส่วนจะได้มารวมพลังกันเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์การการอภิวัฒน์สังคมในครั้งนี้ครับ
สวัสดีค่ะ
แวะมาเรียนรู้ "หลักและรูปแบบการจัดการตนเอง" พี่คิมสนใจค่ะ ตอนนี้เป็นชาวบ้านแล้วนะคะ ต้องหาความรู้ใส่ตัวเองค่ะ
ข้อมูลแน่นมากครับ เข้ามาอ่านแล้วก็ชอบ ความรู้ด้านนี้ของผมนั้นน้อย คงต้องใช้เวลาซํกพักกว่าจะแลกเปลี่ยนกับคุณสุเทพในประเด็นนี้ได้ แต่ส่วนตัวอ่านแล้วก็เห็นด้วย จริงๆ อยากจะให้จัดการตนเองไปถึงหลักสูตรการศึกษา ... เอาไว้มีโอกาส อยากให้คุณสุเทพเขียนบันทึกเกี่ยวกับ มิติทางการศึกษาที่จะเปลี่ยนไป หากจังหวัดมีการจัดการตนเอง .. จะเป็นพระคุณอย่างสุงเลยครับ
สวัสดีครับครูคิม
สวัสดีครับคุณบีเวอร์
ระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ตามความหมายของท่านปรีดี พยมยงค์หนึ่งในแกนนำคณะราษฎร บอกว่า เป็นประชาธิปไตยที่รอบด้าน(ประชา + อธิปไตย = อำนาจสูงสุดเป็นของปวงชน) หมายความว่า ประชาชนมีอำนาจสูงสุดในโครงสร้างทั้งสามของสังคม คือ
คำถามที่ต้องช่วยกันหาคำตอบคือ ทำอย่างไรประชาชนจึงจะมีอำนาจสูงสุดในโครงสร้างทั้งสามของสังคม ผมเห็นด้วยกับคุณบีเวอร์ครับว่าการศึกษาหรือทัศนะทางสังคมเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเรื่องหนึ่ง นอกเหนือจากเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง
ขอบคุณครับ
น่าสนใจมากครับ อ.สุเทพ
ผมมาเชียงใหม่ในคราวนั้น(20-21ก.ย.53)ทำให้ผมได้ตระหนักถึงความสำคัญและผลกระทบจากการปฏิรูปการปกครองสังคมไทยในยุคแรก เมื่อปี2435 (เป็นการจัดระบบรวบอำนาจการปกครองให้ส่วนกลางได้ปกครองท้องถิ่นเบ็ดเสร็จ มิใช่การสนับสนุนให้ท้องถิ่นปกครองตนเอง) ว่ามีผลต่อการเมืองการปกครองของไทยเราเป็นอย่างมาก การปฏิรูปครั้งเป็นรอยต่อครั้งสำคัญที่ส่งผลกระทบทำให้ความเป็นชุมชนท้องถิ่นและภูมิภาคอ่อนแอลงเป็นอย่างมากและยังคงส่งผลกระทบจนถึงปัจจุบันนี้ ผมทราบแต่ว่าทางภูมิภาคภาคอีสานในช่วงแรกมีการต่อต้านจากคนในท้องถิ่นมากพอสมควร ในรูปกบฏผีบุญ แต่ไม่ทราบว่ามีการต่อต้านในภูมิภาคอื่นๆ ผมได้คุยกับพี่สวิง ตันอุด และพี่ชัชวาลย์ ทองดีเลิศจึงทำให้ทราบว่าที่ภาคเหนือก็มีประวัติการต่อต้านโดยเฉพาะที่เชียงใหม่และแพร่(กบฎเงี้ยว-ไทใหญ่) เพียงแต่ยังไม่มีการศึกษาค้นคว้าเท่าที่ควร ต่างจากทางอีสานเรื่องกบฎผีบุญมีงานวิชาการศึกษาค้นคว้ากันอย่างกว้างขวาง พี่ชัชวาลย์ ทองดีเลิศบอกว่ากรณีของเชียงใหม่ ลำพูน เราจะเห็นความชัดเจนได้ในกรณีของครูบาศรีวิชัย