ภาคบ่ายวันนี้(19 ก.ค.49) ได้รับโทรศัพท์ช่วงระหว่างเดินทางไปในตำบลช้างซ้ายหลายครั้ง ถามเพื่อให้แน่ใจว่าผมได้เดินทางไปร่วมในเวที ของบ้านไสใหญ่ หมู่ที่ 12 ต.ช้างซ้าย หรือเปล่า เนื่องจากทีมงานทราบว่าผมติดการอบรมเกษตรกรสมาชิกกลุ่มเกษตรอินทรีย์อยู่ที่อำเภอ
ผมเดินทางมาถึงสถานที่จัดเวที หน้าบ้านผู้ใหญ่ ได้ยินเสียงแว่ว ๆ จากในเวทีว่า มาแล้วมาแล้ว ผมเข้ามาเวทีเวทีก็พร้อมกันอยู่แล้ว การจัดเวทีนั่งประชุมจัดแบบรูปตัว ยู อยู่ในเต๊นท์ ครูอาสากำลังชี้แจงอยู่หน้าเวที 1 คน ถ่ายภาพ 1 คน ทำหน้าที่บันทึกอยู่ 1 คน
วันนี้เป็นการชี้แจงทำความเข้าใจ ซึ่งพุ่งเป้ามาที่ผมว่าต้องทำหน้าที่ชี้แจงและทำความเข้าใจกับ คุณกิจ 8 คนเดิม และคุณกิจขยายผลของหมู่บ้านนี้ อีก 56 คน ซึ่งเป็นทีมงานของ 8 คนเมื่อปี 48 วันนี้ก็มากันพร้อมหน้า ผมสังเกตุเหตุการณ์แล้วรอผมอยู่จริง ๆ ครับและอากาศค่อนข้างร้อน ผมจึงรีบลงมือชี้แจงทำความเข้าใจทันที โดยพยามกระตุ้นให้สงสัย เพื่อตอบคำถามเพราะจะได้รู้ไปด้วยเลยว่า
จริง ๆ ผู้ฟังเข้าใจแล้วยัง บางครั้งผมเป็นฝ่ายถามกลับไปแต่ไม่ถามเขาตรง ๆว่าเข้าใจหรือไม่ แต่จะถามในตัวเนื้องานโดยให้ทดลองคิด ทดลองทำ และก็ได้ผลครับเพราะการตั้งโจทย์เหมือนเป็นการให้การบ้านนักเรียน เพราะจะมีคำถามย้อนกลับมาเรื่อย ๆ และเราวัดได้เลยว่าเขาเข้าใจแค่ไหน
เมื่อเริ่มเข้าใจโครงการแล้ว ก็ถึงการจัดตั้งเป้าหมายการแก้จนของครัวเรือนของตนเอง ตามบันทึกที่ กศน.เตรียมมาเป็นเล่มสำเร็จ ซึ่งก็เริ่มงงกับการบันทึก อีก ผมจึงบอกผู้ใหญ่บ้านให้ยกกระดานมาหน้าเวที ผมเริ่มวาดแผนผังให้ดูเป็นตัวอย่าง ว่าที่วาดนี้เป็นผังตามความคิดหรือฝัน แล้วตั้งคำถามกับตัวเองไปเรื่อย ๆ ผลลับจะเริ่มมองเห็น คุณกิจก็ตั้งใจดูนะครับ
มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งถามและคำถามนี้ก็สร้างความเข้าใจให้คนอื่นได้เข้าใจเป็นอย่างดีครับ น้องเขาถามว่า "ความคิดนี้ใช่หรือไม่ คือ ปกติให้ลูกไปกินอาหาร/ขนมที่โรงเรียนวัดละ 20 บาท เราวางแผนลดรายจ่ายที่เป็นเงินโดยให้ลูกนำข้าวห่อไปโรงเรียนแทน และให้เงินลดลงเหลือ 10 บาท" เมื่อผมตอบว่าใช่ ทุกคนในที่ประชุมร้องอ้ออย่างนี้เอง
วันนี้พยามให้แนวคิดสร้างความเข้าใจเรื่องการลดรายจ่าย และทดแทนการจ่าย เป็นอันดับแรกและให้ความสำคัญ โดยให้ครัวเรือนค้นหารายจ่ายออกมา พิจารณาว่าสิ่งใดที่ไม่ต้องจ่ายได้บ้าง (เป็นเงิน)หรือยังงัยก็ต้องจ่ายก็ให้ลดโดยการทดแทนหรือลดปริมาณให้น้อยสุด ส่วนการเพิ่มรายได้ไว้วางเป้าหมายหลังจากนี้ เพราะถ้ายังปล่อยให้รั่วก็ไม่มีวันจะเติมเต็มได้
เรียน ท่าน amatawet
ที่ผมเล่ามาคำถามที่เขาถามเป็นคำถามสมมตินะครับ เพื่อความเข้าใจในเวที ยังไม่ได้ทำจริง ๆ เพราะในการทำจริงผมได้เรียนไว้แต่ต้นว่า ครัวเรือนต้องเรียนรู้เพื่อศึกษาตนเองให้รอบด้านก่อน การจะลดรายจ่ายต้องรู้ว่าตอนนี้ที่จ่ายอยู่เรื่องอะไร แยกจำเป็นกับฟุ่มเฟือยออกมา ในส่วนจำเป็นนั้นต้องดูทรัพยากรใกล้ตัว หรือศักยภาพครัวเรือนทดแทนได้หรือไม่ ส่วนฟุ่มเฟือยอาจพิจารณาตัดไปเลยก็ดีเพราะรายจ่ายส่วนใหญ่จะอยู่ตรงนี้
ส่วนการเพิ่มรายได้ ก็ต้องพิจารณาอย่างละเอียดครับ เพราะหมายถึงการคิดการใหญ่แล้ว ถ้าไม่รอบคอบจะเข้าตำรายิ่งดิ้นยิ่งติดครับ แทนที่จะหายลำบากกลับจนหนักเข้าไปอีก เป็นหนี้เป็นสินเยอะแยะเลยครับ เพราะปัจจัยหลายอย่างเป็นอุปสรรคต่ออาชีพการเกษตรนั้นมีมากและพื้นที่ไม่เหมือนกันนะครับเราต้องเอาข้อมูลทางกายภาพ ชีวภาพ ให้ชุมชนเรียนรู้ด้วย หลัก ๆ ต้องให้เขารู้จักคิดก่อนนะครับ และให้คิดเล็ก ๆ อย่าคิดใหญ่ในเวทีนั้นเราตัดสินใจแทนเขาไม่ได้ ต้องให้เขาคิดเองแต่เรา ชักชวนให้เขาคิดนะครับผม
เรียน คุณชายขอบ
ขอบคุณครับที่เข้ามาทักทาย