เคยได้ยินคำว่า “ลักศพ”กันไหมครับ เรามักจะได้ยินข่าวว่ามีคนขโมยศพ เช่น ขโมยหรือลักศพที่เขาเพิ่งเอาไปฝังเพื่อทำพิธีทางไสยศาสตร์ แต่คำว่า “ลักศพ” เป็นคำเก่าแก่ที่ไม่ได้ยินไม่ได้เห็นกันมานานแล้ว
ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน อธิบายคำว่า “ลักศพ : ก.นำศพไปอย่างเงียบๆเพื่อปลง”
ส่วนในพจนานุกรม อ.เปลื้อง ณ นคร อธิบายคำว่า “ลักศพ : ก.นำศพไปอย่างเงียบๆ เพื่อนำไปเผา”
ผมเพิ่งเห็นครั้งแรกเมื่องานศพของอาจารย์เย็นจิต ณ ตะกั่วทุ่ง อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีภูเก็ต งานศพของท่านเรียบง่าย ท่านสั่งเอาไว้ให้ทำโลงสีขาว ไม่ให้ประดับประดา ไม่ต้องเขียนชื่อติดที่โลง ไม่ต้องจุดธูปเทียน งานศพของท่านตรงกับช่วงตรุษจีนจึงมีคนภูเก็ตไปร่วมงานไม่มากนัก เว้นแต่คนที่ไม่ถือ ผมเห็นว่าการที่คนจะแสดงความกตัญญู การที่จะมาร่วมเคารพศพในช่วงเทศกาลแห่งความสุข มันมิได้ทำให้คนๆนั้นมีความทุกข์ หากจะทุกข์ก็เสียใจที่สูญเสีย แต่มันไม่ได้หมายความว่าสิ่งดีๆในชีวิตเราจะสูญเสียไปทั้งหมดเสียเมื่อไหร่ ผมไปร่วมงานเกือบทุกคืน มีเพียงคืนเดียวที่ไม่ได้ไปเพราะเดินทางไปกรุงเทพฯ แถมบางคืนยังไปทำหน้าที่นำสวดมนต์ อาราธนาศีล อารธนาธรรมด้วยตนเอง ซึ่งขณะนั้นผมดำรงตำแหน่งอัยการจังหวัดภูเก็ต
พอถึงวันที่ฌาปนกิจศพ คืนนั้นเองก็มีการลักศพ ก็คือนำศพของอาจารย์ไปที่เมรุ ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เพราะปัจจุบันการจราจรในเขตเมืองหนาแน่นมาก ถ้าเราแห่ศพไปในตลาดรถก็ติด เพราะรถแห่ศพต้องไปช้า แถมสมัยก่อนศพกับวัดอยู่ใกล้กันแทนที่จะตรงไปที่วัดก็ต้องเอาศพเวียนตลาดก่อน สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ที่ประสงค์จะเดินทางด้วยความรวดเร็ว การลักศพจึงเป็นพิธีกรรมที่ดีที่สุด
การลักศพทำให้มองวิสัยทัศน์ของคนเก่าคนแก่ได้เป็นอย่างดีว่า เขามองเห็นว่าการแห่ศพในเมืองสร้างความเดือดร้อนวุ่นวาย จึงใช้วิธีการที่เรียบง่ายมาจัดการ
ประเพณีโบราณบางเรื่องก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เช่น เมื่อมีคนตายถ้าไม่ใช่ตายโหง นิยมตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่บ้าน ถ้าถนนกว้างก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าถนนแคบก็จะมีปัญหากับการจราจร เท่านั้นยังไม่พอถ้าเป็นโลงไทยก็ขึ้นรถแห่ถึงจะช้าอย่างไร ก็ยังดีกว่าใช้โลงจีนที่เรียกว่า “โลงหัวหมู” เพราะถ้าเป็นโลงหัวหมูแสดงว่าศพนั้นจะนำไปฝัง การนำศพไปฝังก็ต้องใช้วิธีหามอย่างเดียวครับ ลองคิดดูสิครับหามผ่านในเมืองใหญ่ที่มีการจราจรหนาแน่นมันจะเกิดอะไรขึ้น แต่จะว่าไปแล้วหากใครจะทำตามประเพณีโบราณ แม้จะเดือดร้อนกันบ้าง คนเขาก็ไม่ว่ากันครับ เรายอมรับกันได้ นี่เป็นนิสัยของคนไทยที่เราเริ่มจะเสื่อมคลาย
เรานิยมตะวันตก เราเห็นตะวันตกเป็นพระเจ้า แต่เราลืมไปว่ากระบวนการหล่อหลอมทางสังคมไม่เหมือนกัน เราชื่นชมในทุกสิ่งที่เป็นของตะวันตก ในขณะที่ตะวันตกเริ่มกลับมาปฏิบัติตามวัฒนธรรมตะวันออก เด็กสาวบ้านเรารับรู้ว่าที่ต่างประเทศผู้หญิงเขาอยากนอนกับผู้ชายก็ไปนอนกันได้ พรหมจารีไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับชาวตะวันตก แต่มันเป็นเรื่องสำคัญของชาวตะวันออก เด็กบ้านเราจึงเหลวแหลกในเรื่องเหล่านี้เพราะตามก้นฝรั่ง แต่ขณะนี้เด็กอเมริกันเริ่มตระหนักถึงพรหมจารีว่าไม่ใช่เรื่องที่จะให้ใครง่ายๆ มีการรณรงค์กันแล้ว โลกกำลังกลับตาลปัตร ขณะที่เรานิยมรับประทานอาหารตะวันตก แต่ชาวตะวันตกกลับนิยมอาหารตะวันออก อาหารไทย อาหารญี่ปุ่น อาหารเกาหลี ขายดิบขายดีในประเทศตะวันตก ใครกันแน่ที่เก่งกว่า...
ผมออกไปไกลเลย อิอิ ที่เขียนถึงเรื่องการลักศพวันนี้ก็เพราะ วันนี้จะไปร่วมฌาปนกิจศพคุณแม่ของเพื่อนซึ่งเป็นน้องสะใภ้ของอาจารย์เย็นจิต เมื่อคืนไปร่วมงานถามเพื่อนว่าคืนนี้ลักศพไหม เขาก็บอกว่าทำ ผมก็ว่าดีเพราะทุกวันนี้ภูเก็ตการจราจรก็ติดขัดอยู่แล้ว ตัวอย่างดีๆก็ควรรักษากันเอาไว้...
สวัสดีค่ะ คุณลุง
หนูเพิ่งรู้ความหมายที่แท้จริงของคำว่า"ลักศพ"นี่เอง เข้าใจแต่ว่าลักศพหมายถึงลักขโมยศพ มีคำในภาษไทยที่ยังไม่รู้ความหมายที่แท้จริงอีกเยอะ...
สวัสดีค่ะ
เป็นพิธีกรรมการลักศพ ที่เพิ่งเคยทราบค่ะ ตอนแรกคิดว่าเป็นการทำไปในทางไม่ดี
พี่คิมเคยไปงานศพ ส่วนใหญ่พิธีกรรมยืดยาวมาก น่าเกรงใจผู้ที่มาร่วมงาน อ่านประวัติเสียมากมาย แต่ตอนมีชีวิตอยู่ไม่มีใครกล่าวความดีงามของกันปานนั้น
มิหนำซ้ำ ยังอ่านประวัติของลูกหลานไปพร้อมด้วย ว่าเป็นใคร ตำแหน่งใด แต่งงานกับใคร (ลูกหลานนะคะ)
แต่พี่คิมอุทิศร่างกายแล้วและไม่ประสงค์ทำพิธีทางศาสนา ไม่ประสงค์เรียนญาติมิตรค่ะ
ลุงก็เพิ่งรู้จักคำนี้เมื่ออายุ ๕๐ ปี หนูแอ้มกำไรที่ได้รู้คำนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย
ขอบคุณครับพี่คิมที่มาช่วยเติมเต็ม ดีนะครับอุทิศร่างเป็นอาจารย์ใหญ่ จากไปแล้วคนอื่นก็ไม่ต้องวุ่นวาย
รายงานให้ทราบว่าไก่ฟ้าพญาลอเริ่มไต่แล้วครับ
ขอบคุณครับคุณใยไหม
ช่วงนี้มัวแต่ไปบ้าเล่น facebook แล้วถ่ายรูปลงในนั้นแทบทุกวัน เลยไม่ค่อยได้เขียนบทความครับ
แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ขอขอบคุณสำหรับคำชม
หนังสือเป็นนักเรียนพระปกเกล้าที่รวบรวมบทความผมใน gotoknow สสสส๑ และ ๒ ครับ ขอได้ที่สถาบันครับ
สวัสดีค่ะ
คุณแม่ได้ทำการบริจาคร่างกายให้กับศูนย์เนื้อเยื่อ คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล พอท่านสิ้นใจเราก็รีบโทรศัพท์แจ้ง แต่กลับกลายเป็นว่า โรงพยาบาลไม่รับ เพราะแม่ป่วยด้วยโรคมะเร็ง ก็ต้องดำเนินการตามประเพณีต่อไป ไม่ได้ลักศพ เพราะเมื่อร่างของแม่ออกจากโรงพยาบาลก็ไปอยู่ที่วัด เข้าวัดวันที่ 11 ก.ย. ฌาปนกิจก็ที่วัดเดิมในวันที่ 13 ก.ย. วันที่ 14 ก.ย.ลอยอังคาร วันที่ 18 ก.ย. ทำบุญ 7 วันที่บ้าน เป็นอันเสร็จพิธี วางแผนว่า ครบ 100 วันไปทำบุญที่วัด นี่คือ ตามประเพณีที่สุดแล้ว ส่วนที่เหลือนอกนั้นก็คือ ทำบุญให้ทุกวันจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ทำกันแบบเรียบง่าย ที่สำคัญคือ ทำด้วยความเต็มใจ ความใหญ่โตก็อยู่ที่ใจ
สวัสดีครับท่านอัยการ
ไม่เคยรู้จักคำนี้เลยครับ ขอบคุณที่นำมาเล่าไว้ได้ความรู้ครับ แต่ไม่แน่ใจว่าภาคอื่น ๆ นอกจากทางใต้ เขามีวิธีการที่ว่านี่ไหมนะครับ
คุณอัยการ...
krugui เพิ่งเคยได้ยินคำๆนี้เป็นครั้งแรก และเพิ่งทราบความหมายเป็นครั้งแรกเช่นกัน
ดีนะคะคนอยู่ข้างหลังจะได้ไม่เดือดร้อน
เป็นการกระทำที่น่าจะเอาอย่าง เพราะบางครั้งรีบๆแต่ดันเจอเขาแห่ศพ ไอ้ที่รีบเลยกลายเป็นช้าไป..
ขอบคุณกับบันทึกที่เติมเต็มให้สมองค่ะ..
ต้องขออภัยทุกท่านที่มาตอบช้า.ครับ
ดีนะครับคุณศิริวรรณ การบริจาคร่างกายให้เป็นอาจารย์ใหญ่ ผมว่าได้บุญหลายครับ
การระลึกถึงแม่ด้วยความเต็มใจ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านแม้ตอนท่านมีชีวิตอยู่ก็ทำให้อย่างเต็มที่อยู่แล้ว เมื่อล่วงลับก็ทำบุญให้แม่ด้วยความเต็มใจคือลูกกตัญญูครับ จะส่งผลให้คุณศิริวรรณก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไปครับ
สวัสกีครับคุณสุมิตรชัย
ผมก็ไม่แน่ใจว่าภาคอื่นมีหรือไม่ แต่ดูในพจนานุกรมไม่เห็นบอกว่าเป็นของภาคไหนครับ
ครูgui ครับ
การได้เรียนรู้สิ่งใหม่เป็นการเพิ่มประสบการณ์ให้กับชีวิต อย่างน้อยก็มีเรื่องไปคุยกับลูกศิษย์ของครูได้เหมือนกันครับ และการลักศพตามวิธีการที่ผมเล่ามาเป็นการกระทำที่เป็นผลดีต่อสังคมครับ
คิดเหมือนกันเมื่อต้องลาโลกนี้..ขอไปแบบเรียบง่ายค่ะ ขอบคุณสำหรับความรู้ที่ " ไม่เคยรู้มาก่อนเลย"
ขอบคุณสำหรับความรู้ใหม่ๆ ครับคุณอัยการ