กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม
ผู้ดีจะเดินตรอก ขี้ครอกจะเดินถนน
คำพังเพยคนสยามโบราณ ที่กล่าวถึงสังคมในยุคศรีอริยเมตไตรย
จากหนังสือ ความเป็นอนิจจังของสังคม
ของท่านดร.ปรีดี พนมยงค์ เมื่อ ปี 2500
ผมมาร่วมเวทีการสัมมนา “ชุมชนท้องถิ่นจัดการตัวเองสู่การปฏิรูปประเทศไทย” ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 14-15 กันยายน 2553 ตลอดการสัมมนาทั้ง 2วัน ได้มีการระดมความคิดเห็นของขบวนองค์กรชุมชนต่อแนวทางการมุ่งสร้างชุมชนท้องถิ่นให้มีบทบาทในจัดการตัวเองให้มากขึ้น ในท่ามกลางกระแสการปฏิรูปประเทศไทย ในขณะนี้ครับ นอกจากนี้ช่วงเช้าวันแรกมีปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “จินตภาพใหม่ ชุมชนท้องถิ่นจัดการตัวเอง” โดย อาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม กรรมสมัชชาปฏิรูปและประธานกรรมการเครือข่ายองค์กรชุมชนเพื่อการปฏิรูป
รวมทั้งในวันพรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันที่สองของการสัมมนา(วันที่ 15 กันยายน 2553) ศจ.นพ.ประเวศ วะสี ประธานกรรมการสมัชชาปฏิรูป จะมาร่วมเวทีรับฟังข้อเสนอของภาคประชาชนและให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติม
การปาฐกถาพิเศษของอาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ในหัวข้อ “จินตภาพใหม่ ชุมชนท้องถิ่นจัดการตัวเอง” ในครั้งนี้อาจารย์มาด้วยความแปลกใหม่ครับ ทั้งด้านเนื้อหาและลีลาใหม่ในการปาฐกถาครับ บางคนบอกว่าครั้งนี้ดูราวกับว่ากำลังนั่งฟังอาจารย์กล่าวสุนทรพจน์ หรือกล่าวปราศรัยทางการเมืองอย่างมีพลัง ด้วยลีลาการยืนอยู่กลางเวทีท่ามกลางมวลชนที่นั่งฟังรายล้อมรอบทิศ
“จินตภาพใหม่ ชุมชนท้องถิ่นจัดการตัวเอง”ในทัศนะของอาจารย์ไพบูลย์ คือการอภิวัฒน์สังคม ตามทัศนะของท่านดร.ปรีดี พนมยงค์ ที่เคยกล่าวไว้นั่นเอง เพียงแต่การอภิวัฒน์สังคมในยุคนี้เรามีความหวังที่จะ อภิวัฒน์สังคม ด้วยการร่วมมือกันสร้างการเปลี่ยนแปลงจากขบวนชุมชนท้องถิ่นฐานราก ซึ่งเป็นการสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมด้วยคนธรรมดา ด้วยคนตัวเล็กตัวน้อย มากกว่าที่จะคาดหวังรอคอยการอภิวัฒน์สังคมจากภาครัฐ หรือจากกลุ่มผู้นำในสังคม การอภิวัฒน์สังคม
อาจารย์ไพบูลย์ กล่าวว่าการอภิวัฒน์สังคมที่มุ่งสู่ การสร้างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ การสร้างสังคมที่มีความ “อยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน” หรือการสร้างสังคมพระศรีอารย์ให้เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา และที่สำคัญการปฏิรูปนั้นคือการปฏิรูปตัวเอง ซึ่งเราจะต้องมองเลยข้ามการปฏิรูปสังคมแค่ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งหรือการปฏิรูปที่เป็นไปเพื่อตอบสนองรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง หากขบวนชุมชนท้องถิ่นจะมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทางสังคมจำเป็นต้องเรียนรู้ ประวัติศาสตร์การอภิวัฒน์สังคมของประชาชนในเชิงพัฒนาการ ซึ่งอาจารย์ไพบูลย์ท่าน ได้แบ่งการอภิวัฒน์สังคมไทยเป็น 3 ยุคดังนี้
ยุคที่หนึ่ง การอภิวัฒน์สังคมยุคการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
วันที่ 24 มิถุนายน 2475 คือวันแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบบสมบูรณาญาสิทธิราช มาสู่ระบบการปรกครองโดยมีพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยคณะราษฎร ภายใต้การนำของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส (วันที่ 24 มิถุนายน เคยเป็นวันชาติของสยามประเทศในระยะแรก) แม้จะเปลี่ยนแปลงการปกครองจะสำเร็จ แต่ช่วงเวลาแห่งการพัฒนาประชาธิปไตยที่จะสร้างระบบการเมืองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน ตามอุดมการณ์หรือหลักการปกครอง 6 ประการที่คณะราษฏรใฝ่ฝัน รวมทั้งตามเค้าโครงเศรษฐกิจที่ถูกยกร่างขึ้นในเวลาต่อมา หากแต่ภารกิจการสร้างประชาธิปไตยและการสร้างความสมบูรณ์พูนสุขให้แก่ราษฎรนั้น แทบไม่มีโอกาสเป็นจริงได้เลย เพียงไม่กี่ปีภาคประชาชนก็ถูกช่วงชิงอำนาจไป เค้าโครงเศรษฐกิจถูกฉีกทิ้ง ประชาชนก็ยังคงทุกข์ยากเหมือนเดิม ขณะที่ผู้นำการอภิวัฒน์อย่าง ดร.ปรีดี พนมยงค์ เองถึงแม้จะเป็นถึงรัฐบุรุษอาวุโสคนแรกของประเทศไทย ผู้มีคุณูปการหลายๆอย่างต่อสังคมไทยก็ต้องหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ อย่างไม่มีวันได้กลับ การอภิวัฒน์สังคมยุคนี้นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475เป็นต้นมา การพัฒนายังไม่มีความก้าวหน้าต่อเนื่องเป็นระยะเวลาประมาณ 40 ปี จนถึงปี 2515
ในยุคนี้ ดร.ปรีดี พนมยงค์ เป็นสามัญชนที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของบ้านเราอย่างยิ่งคนหนึ่ง ในมิติที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมือง แม้ภารกิจของท่านปรีดี จะยังไม่อาจฝ่าฟันให้บรรลุเป้าหมายตามที่มุ่งหวังไว้ แต่ท่านดร.ปรีดี คือผู้ริเริ่มให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัยด้วยคนธรรมดาสามัญ ความคิดและเจตนารมณ์เพื่อสร้าง “ประชาธิปไตย เพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชน” ยังจะต้องมีการสืบสาน
ยุคที่สอง ยุคการพัฒนาเพื่อประชาชนสู่การพัฒนาของประชาชน
ยุคนี้เริ่มเมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้ว การพัฒนาในยุคนี้ภาครัฐเริ่มมีการจัดตั้งกรมการพัฒนาชุมชน ที่ส่งเสริมการรวมกลุ่มเพื่อการช่วยตนเองของประชาชน ในภาคประชาสังคมเริ่มมีการก่อตั้งองค์กรพัฒนาเอกชน(NGO)ขึ้นมาเป็นครั้งแรก โดยท่าน อ.ป๋วย อึ้งภากรณ์คือมูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทย มีการจัดทำโครงการพัฒนาลุ่มน้ำแม่กลองโดยภาคีวิชาการ 3 มหาวิทยาลัย มีโครงการบัณฑิตอาสาสมัครเป็นครั้งแรก ผลการพัฒนาในยุคนี้จนถึงปัจจุบันทำให้เกิดขบวนการพัฒนาของประชาชนและภาคประชาสังคมอย่างกว้างขวาง ได้ก่อให้เกิดความตื่นตัวและเกิดการขับเคลื่อนสังคมในมิติต่างๆนอกจากการเกิดกลุ่มองค์กรชุมชนที่หลากหลาย กว้างขวางและครอบคลุมแล้ว ขบวนชุมชนยังสามารถยกระดับองค์ความรู้ ไปสู่การแก้ไขปัญหาทั้งในระดับชุมชนและในระดับนโยบายที่มากขึ้น
การพัฒนาในยุคการพัฒนาเพื่อประชาชนสู่การพัฒนาของประชาชนนี้มีหลักการการพัฒนาที่คล้ายกันโดยมีหลักการสำคัญที่เรียกว่าการพัฒนาแบบผสมผสาน 4 ข้อ ที่เสนอโดยท่าน อ.ป๋วย อึ้งภากรณ์มีดังนี้
การอภิวัฒน์สังคมโดยการพัฒนาของประชาชนในยุคนี้นับว่ามีความก้าวหน้าในทุกๆด้าน เพียงแต่การทำให้ประชาชนมีการปกครองตัวเอง หรือการจัดการตัวเองของชุมชนท้องถิ่นบรรลุเป้าหมายตามที่มุ่งหวังไว้ สิ่งที่ทำได้เป็นเพียงการรวมตัวกันเป็นกลุ่มองค์กรชุมชนและรวมตัวกันเป็นขบวนการของภาคประชาชนหลากหลายขบวนการ ซึ่งเป็นการสะสมพลังการเปลี่ยนแปลงที่มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะก้าวต่อไป ในช่วงนี้มีเหตุการณ์สำคัญในบ้านเมืองเกิดขึ้น ซึ่งเป็นการลุกขึ้นมาทวงประชาธิปไตยโดยประชาชน คือ เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 การอภิวัฒน์สังคมในยุคนี้กินเวลา 40 ปีเช่นกันรวมกับยุคแรกด้วยแล้วประมาณ 80 ปี
ยุคที่สาม ยุคชุมชนท้องถิ่นจัดการตนเองอย่างมีคุณภาพและรอบด้าน(การอภิวัฒน์โดยชุมชน หรือ ชุมชนาภิวัฒน์)
กุญแจสำคัญในการแก้วิกฤตชาติอยู่ที่ชุมชนท้องถิ่น
เพราะว่าชุมชนท้องถิ่นนั้น คือชาติที่แท้จริง
เนื่องจากชุมชนท้องถิ่นดูแลพื้นที่ทั้งหมดของประเทศไทย
ดูแลคนทั้งหมดที่อยู่ในพื้นที่ ดูแลต้นไม้ใบหญ้า ดูแลทรัพยากรทั้งหมด
ที่อยู่บนผืนแผ่นดินไทย ดูแลวัฒนธรรม ศาสนาธรรมและอื่นๆ
ชุมชนคือระบบการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับคน คนกับสิ่งแวดล้อม
ชุมชนจึงเป็นความจริงของแผ่นดินที่จริงที่สุด
ศ.นพ.ประเวศ วะสี
ประธานกรรมการสมัชชาปฏิรูป
การอภิวัฒน์สังคมผ่านกระบวนการพัฒนาของขบวนเครือข่ายองค์กรชุมชนในยุคนี้ ซึ่งเป็นยุคปัจจุบัน โดยอาจจะเริ่มนับได้ต่อเนื่องตั้งแต่ช่วง ปี 2550 เป็นต้นมา เป็นการขับเคลื่อนงานพัฒนาเชิงการปฏิรูป ที่จะนำไปสู่การสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบและโครงสร้างในด้านต่างๆจากชุมชนท้องถิ่นฐานราก โดยใช้พลังขบวนเครือข่ายองค์กรชุมชน และกระบวนการทางสังคมให้ทกภาคส่วน ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และจัดการความรู้อย่างกว้างขวาง โดย ศ.น.พ.ประเวศท่านเรียกว่า เป็นการอภิวัฒน์ของชุมชน หรือชุมชนาภิวัฒน์
“จินตภาพใหม่ ชุมชนท้องถิ่นจัดการตัวเองสู่การปฏิรูปประเทศไทย” คือการที่ขบวนชุมชนจะต้องร่วมกันพัฒนาศักยภาพชุมชนท้องถิ่น ซึ่งก็คือการปฏิรูปตัวเองของขบวนชุมชนด้วย สู่การเป็นชุมชนท้องถิ่นจัดการตนเองอย่างมีคุณภาพและรอบด้าน ซึ่ง อ.ไพบูลย์ได้มีข้อเสนอดังนี้
1.การพัฒนาคุณภาพของการวางแผน การกำหนดเป้าหมายละตัวบ่งชี้ความก้าวหน้าการพัฒนา
2. การรวมพลังสร้างสรรค์ภายในขบวนองค์กรชุมชนเป็นการสร้างความสัมพันธ์ในความหมายใหม่ร่วมกันของเครือข่ายขบวนองค์กรชุมชน
3. การรวมพลังสร้างสรรค์กับสังคมหรือภาคีการพัฒนาเป็นการสร้างความสัมพันธ์ในความหมายใหม่ร่วมกันกับเครือข่ายทางสังคม หรือภาคประชาสังคม
4. การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การวิจัยและพัฒนาและการจัดการความความรู้
5. การสร้างความร่วมมืออย่างเป็นขบวนการ เป็นขบวนการบนฐานของคุณภาพหรือความสามารถ เป็นขบวนการที่มีคุณธรรมความดีงาม และเป็นขบวนการแห่งการสร้างความสุขสมบูรณ์(สุขภาวะ)ร่วมกัน
ดังนั้นการการอภิวัฒน์สังคมในยุคนี้จึงเป็นการปฏิรูปประเทศไทยด้วยการจัดการตัวเองอย่างมีคุณภาพและรอบด้านของขบวนชุมชนท้องถิ่น ซึ่ง อาจมีได้หลายระดับ ตั้งแต่หมู่บ้านจัดการตัวเอง ตำบลจัดการตัวเอง เทศบาลจัดการตัวเอง หรือจังหวัดจัดการตัวเอง หากนับระยะเวลาการเปลี่ยนผ่าน 40 ปี ก็จะอยู่กับการเริ่มการเปลี่ยนแปลงที่ปี 2555 อ.ไพบูลย์บอกว่าในเรื่องจินตภาพชุมชนท้องถิ่นจัดการตัวเองนี้ ตามรัฐธรรมนูญทั้งฉบับปี 2540 และฉบับปี 2550 ได้บัญญัติไว้ว่าถ้าท้องถิ่นไหนมีความพร้อมก็สามารถพัฒนารูปแบบการปกครองท้องถิ่นขนาดใหญ่ได้ เพียงแต่ว่ายังไม่มีการริเริ่มอย่างจริงจัง
การอภิวัฒน์สังคมในยุคการปฏิรูปประเทศไทยด้วยการจัดการตัวเองอย่างมีคุณภาพและรอบด้านของขบวนชุมชนท้องถิ่นนี้ อ.ไพบูลย์ มีความหวังน่าจะใช้เวลาไม่มากเท่าการอภิวัฒน์สังคมในยุคที่หนึ่งและยุคที่สอง ซึ่งแต่ละยุคใช้เวลาถึง 40 ปี ส่วนจะเป็นไปได้แค่ไหนและใช้เวลาเท่าไหร่ เป็นเรื่องของอนาคตที่อยู่ที่ขบวนชุมชนท้องถิ่นจะรวมพลังกันเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์
“ดอ ปื่อ แหว่ เป่อ ซะ เหม่ คู
บอ ก่อ ดอ แล ถ่อ ชุ มู
ถ้าเราพี่น้องเอาใจมากองรวมกัน
เราสามารถทำเป็นบันไดปีนขึ้นสู่สวรรค์ได้”
สุภาษิตโบราณชาวปปาเกอญอ
นำเสนอในเวทีสัมมนาโดย ชิสุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์
ผู้ประสานงานสภา "แอะมือเจะคี"
อำเภอ กัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่
ดอ ปื่อ แหว่ เป่อ ซะ เหม่ คู
บอ ก่อ ดอ แล ก่อ ชุ มู
" ถ้าเราพี่น้องเอาใจมากองรวมกัน
เราสามารถทำเป็นบันไดปีนขึ้นสู่สวรรค์ได้”
ชอบมากๆครับ...
เป็นอุดมคติ ที่สุดยอดมากๆ...
“ดอ ปื่อ แหว่ เป่อ ซะ เหม่ คู
บอ ก่อ ดอ แล ถ่อ ชุ มู
ถ้าเราพี่น้องเอาใจมากองรวมกัน
เราสามารถทำเป็นบันไดปีนขึ้นสู่สวรรค์ได้”
อ.หมอประเวศ นำเสนอในเช้าวันนี้(15 มิ.ย.53)ไว้ว่า
ขอบคณครับ
ชา ตะ สะ ละ วา
ชา ตะ สะ ละ วา ครับ ครูบุญส่ง
(หมายความว่า......)
วันที่20 -21 ก.ย.53 มาเชียงใหม่ ร่วมเวที "ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนงานปฏิรูปประเทศไทยภาคประชาชน(จังหวัดจัดการตัวเอง) 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน" มีการนำเสนองานวิชาการและแลกเปลี่ยนบทเรียนการขับเคลื่อนของภาคประชาชนในแต่ละจังหวัดครับ
ผมสนใจบทเรียนการจัดการตัวเองของท้องถิ่น โดยการปกครองท้องถิ่นในต่างประเทศ โดย อ.ชำนาญ จันทร์เรือง การทบทวนงานวิชาการว่าด้วยการจัดการตัวเองโดย อ.ไพสิฐ พานิชย์กุล จาก มช.ครับ
ผมพบว่า หากวิเคราะห์ปรากฏการณ์การอภิวัฒน์สังคมที่เกิดขึ้น เราจะพบว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ๆในสังคมมักจะมีแบบแผนการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆในห้วงเวลาในระยะเวลา 40 ปี
ในเวทีครั้งนี้ได้มีคนเสนอว่าเราคงต้องมองย้อนไปก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 ไปก่อนหน้านั้นอีกเป็นเวลา 40 ปีด้วย เราจะพบว่าในปี 2435 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างสู่อำนาจระบบบริหารราชการแผ่นดินแบบรวมศูนย์ โครงสร้างนี้ได้ถูกออกแบบโดยเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานั้นเพื่อป้องกันสยามประเทศให้รอดพ้นจากภัยคุกคามของลัทธิล่าอาณานิคม ได้มีการปฏิรูปโครงสร้างการบริหารประเทศให้มีความทันสมัยเพื่อรับกับสถานการณ์ของโลกในขณะนั้น
การรวมศูนย์อำนาจโดยส่งเจ้านายที่ได้รับความไว้วางใจจากส่วนกลางไปปกครองท้องถิ่น ก่อให้เกิดการต่อต้าน หรือเกิดกบฏของประชาชนในท้องถิ่นที่ไม่พอใจต่อการถูกปกครอง การไม่ได้รับประโยชน์จากการปกครองของส่วนกลาง หรือได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง เช่น ภาคอีสาน เกิดกบฏเชียงแก้ว พ.ศ. 2334 กบฏโดยพวกข่า เกิดขึ้นหลังจากนโยบายของรัฐที่ขยายอำนาจเข้าไปในภาคอีสาน, กบฏผู้มีบุญ พ.ศ. 2444 – 2445 ได้เกิดจากสภาพชีวิตของราษฎรอีสาน ความผันผวนทางการเมือง และเศรษฐกิจที่ไม่สามารถควบคุมได้ จึงหันไปหาความเชื่อท้องถิ่นเรื่องผู้มีบุญที่จะมาแก้ไขความทุกข์เข็ญให้กับตนเอง ภาคเหนือ เกิดกบฏพญาผาบ พ.ศ. 2432 เกิดจากการเปลี่ยนแปลงการจัดเก็บระบบภาษีหมาก พลู มะพร้าวที่ทำให้ราษฎรต้องเสียภาษีทั้งที่ยังไม่มีการซื้อขาย ทำให้ราษฎรเดือดร้อน ภาคใต้ เกิดกบฏผู้วิเศษ พ.ศ. 2442 – 2454 ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความไม่พอใจต่อการออกข้อบังคับสำหรับปกครองจากส่วนกลาง
ครับ การอภิวัฒน์สังคมในยุคการปฏิรูปประเทศไทยด้วยการจัดการตัวเองอย่างมีคุณภาพและรอบด้านของขบวนชุมชนท้องถิ่นที่คาดว่าจะเกิดขึ้นได้ในปี 2555นี้ เราน่าจะมีความหวังได้ว่า การจัดการตัวเองของชุมชนท้องถิ่นในครั้งนี้จะเกิดขึ้นได้จริง และคงไม่ต้องรอการอภิวัฒน์สังคม อีกครั้ง
ซึ่งการอภิวัฒน์สังคมในแต่ละยุค อาจต้องใช้เวลาถึง 40 ปี รอคงไม่อยากรอขนาดนั้น ส่วนจะเป็นไปได้แค่ไหนและใช้เวลาเท่าไหร่ เป็นเรื่องของอนาคตที่อยู่ที่ขบวนชุมชนท้องถิ่นและผู้คนทุกภาคส่วนจะได้มารวมพลังกันเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์การการอภิวัฒน์สังคมในครั้งนี้ครับ