วันนี้ ไปสอนครู เรื่อง Cultures และ เอาหนังโฆษณาของชาติต่างๆมาให้ดู
ให้ครูคิดเชื่อมโยงว่า หนังโฆษณา กับ สร้างCulture มันเกี่ยวข้องกันอย่างไร ?
คำตอบ คือ ถ้าจะสร้าง cultures ต้องใช้ หลักการทาง "การโฆษณา" มากๆครับ
ทำหนังสือ ทำหนัง ทำบอร์ด พูดซ้ำๆ ทำเป็นเพลง ทำเป็นตัวอย่าง ให้รางวัลคนที่ทำตาม Culture ได้ พาไปดูงาน เชิญคนแบบนั้นๆมาพูด
และแล้ว ปัญหา classic ก็เกิดขึ้น คือ ทุกวันนี้ ครูงานล้นมาก กิจกรรมมาก
เป็นทาส เป็นคนใช้ของจังหวัด เช่น พาเหรด กีฬา ต้านยา ฯลฯ จนไม่ได้สอนเด็กแล้ว
พวก นักประเมิน ก็ขยัน ถามหา โครงการ โครงงาน กิจกรรมรองรับ ฯลฯ จนครูอยากจะย้อนว่า
"พวก มึ.. ...ง มาเป็น กรู ... บ้างไหม "
"ว่างมากหรือไง ...? "
แล้ว จะให้ทำ LO & KM เนี่ย มาเพิ่มงาน ใช่ไหม จะให้ทำอะไรอีกล่ะ ?
ผมก็บอกว่า "ไม่เร่ง" "มีน้อยก็ทำ มีมากก็ทำ เอาเฉพาะที่มีใจ" (เลียนแบบ แพรกหนามแดง)
"แต่ ทำในสิ่งที่ ครูมีความสุข"
"ครูมีความสุข เด็กก็จะมีความสุข"
ครูก็บอกว่า "ลูก E ช่างตรวจ เยอะจัง มาทุกสถาบันเลย ซ้ำๆซาก ไม่รู้จักคุยกัน บูรณาการกันเลย"
ผมก็บอกว่า "งั้น งานวิจัย หัวปลาแรก คือ ทำไง งานจะลดลง"
ครูบอกว่า "เคยไป สัมมนากัน 3 วัน ทำ workshop แต่ สุดท้ายก็ล้มเหลว"
ผมก็ถามว่า "มีใครเป็นผู้รู้ ใช้ mindmap เป็นไหม "
"อุปสรรคอยู่ที่ไหน" "คนไม่กี่คน เป็นอุปสรรค หรือ ทุกคนเป็นอุปสรรค" "มีไม่กี่คนมั้ง ที่ชอบสร้างอุปสรรค" "อย่าคิดแบบเหมารวม"
คำตอบ คือ ไม่มีผู้รู้
ไม่ได้ วิจัย เอาแต่คุยๆๆๆ จนกลายเป็นบ่นๆๆๆ จบลงด้วย ท้อแท้
************************
ในที่สุด ครูเขา จะจัด Priority ของงาน อะไรจำเป็น ไม่จำเป็น เร่งด่วน รอได้ โดยมารยาท ฯลฯ เช่น โรงเรียนเขา ไม่มีเด็กติดยา ก็ไม่ต้อง รณรงค์บ้าเลือดทุ่มเท ขนาดนั้น เอาแค่ เตือนๆ ก็พอ
และ ก็จะทำ E-learning กัน
********************
ครูบางคน บอกว่า โรงเรียนนวมินทร์ สอนตอนเช้าแค่ 4 ชั่วโมง
ผมคิดในใจ "Oh พระเจ้า George มันยอดเลย " ควรจะทำกันนานแล้ว นวมินทร์ แน่มาก ขอปรบมือให้ดังๆ
******************
มีหัวข้อให้ครูวิจัยมากมาย เช่น
ครูบางคนบอกว่า เด็กแบกของหนัก
ครูบางคน เสนอให้ทำ E-book / E-homework และผู้บริหารขอทำ e-meeting เพราะ อาชีพประชุม ยกโขยงกันไปนั่งประชุม เรื่องไม่เป็นเรื่องก็ต้องไป ฯลฯ
ฯลฯ
**********************
ในที่สุด พวกครู ก็เริ่ม หาหัวปลา หัดวิจัย ว่าทำไม งานเยอะ
และ คำตอบของการทำ LO & KM คือ ทำแล้ว ครูมีความสุขในการทำงานครับ
ที่ท่านกล่าวมาเป็นความจริงทั้งหมดครับ ถ้าไม่ช่วยกันแก้ไขงาน(ที่ไม่จำเป็น)ก็จะเพิ่มภาระให้ครูตลอด
ไม่ใช่ครูค่ะ แต่ได้ตั้งวิสัยทัศน์ตนเองไว้ คือ มีความสุขกับการทำงาน เป็นหัวปลา ส่วน LO & KM ช่วยให้เราทำงานง่ายขึ้น เพื่อเข้าถึงวิสัยทัศน์นั้น
ในอนาคต โลกคอมพิวเตอร์จะดีมากๆ การเข้าโรงเรียน มหา ฯ จะไม่จำเป็น
คนที่เป็น mastery ในศาสตร์นั้นๆ จะเป็นครู และ สอนทิ้งไว้ใน แท่งผลึก
***********************
ผมชอบที่ ครูสมพรสอนลิง ท่านกล่าวว่า
" ประเมินตนเองบ่อยๆ เกิดมาทำไม
เกิดมาสืบพันธ์ เพิ่มพลเมืองโลก แค่ไหนเองหรือ ...."
ทำ LO & KM แล้ว มี สติมากขึ้น เข้าใจชีวิต เข้้าใจพฤติกรรมตนเอง ฯลฯ จนนำไปสู่ การบวชอยู่กับงาน มีสติทุกวินาที นี่แหละ องค์กรเรียนรู้ ครอบครัวเรียนรู้ ชีวิตเรียนรู้ สังคมเรียนรู้
ภายนอก เราก็ทำงานไปตามสมมติ ตามหน้าที่
ภายในเราก็ ชำเลืองดูจิต ดูกาย ดูเวทนา ดูธรรม ในตัว ของเราเป็นระยะๆ
จิตสงบเกิดการเรียนรู้ เกิดสติ เกิดปัญญาครับ
************
สังคมอาจารย์ เป็นการเอาคน อัตตามากๆ มาเจอกัน ไม่มีระบบอบรม อาจารย์จึงเป็นผู้ด้อยโอกาสในการเรียนรู้ เรียนจบปริญญาเอกยิ่งแคบลงเรื่อยๆ อยู่ในกะลาของคนที่ไม่รู้
จบปริญญาตรี 2มือ กางอยู่ที่หน้าอก เงยหน้ายังพอเห็นโลกบ้าง
จบปริญญาโท 2มือกางอยู่ที่ใบหน้า พอจะมองลอดออกไปเห็นอะไรได้บ้าง
จบปริญญาเอก ได้ผศ รศ ศ หัวหน้าภาค คณบดี อธิการบดี ผอ ซีสูงๆ .....ตาบอด2ข้าง แถมที่หูมี ลูกยอ .....เป็นตุ้มหู อีกต่างหาก
************
ปราบอัตตา ครูอาจารย์ยากครับ
ขนาดพระสารีบุตร เป็นพระอรหันต์ทมี่ปัญญาสูงสุด จะกลับสอนอาจารย์เก่าตนเอง ยังทำไม่ได้เลย
พวกหลงตนเองนี้ ชาติต่อไป ไมไ่ด้เป็นคนแน่นอนครับ เป็นสัตว์เดรัจฉาน คณบดี อธิการบดี ผอ ครูใหญ่ ปลัดกระทรวง ฯลฯ ก็มีโอกาสหลง ไปเกิดเป็นสัตว์ได้ครับ
***************
อย่าคิดไปแก้นิสัยพวกเขาเลย แก้ที่ตัวเราเองครับ เอาสติของเรา ไปอยู่ร่วมกับพวกเขา เอาพฤติกรรมของพวกเขาเป็นโจทย์ฝึกอารมณ์ เป็นแบบฝึกหัดดูจิตของเราครับ
ดอกบัว จะงามได้ต้องมีโคลน สิ่งสกปรก
ดังนั้น โคลนแม้นจะสกปรก แต่ก็มีข้อดี คือ เป็นโจทย์ให้บัวได้ขึ้นสู่พ้นน้ำ
********
ต้องมีพวก มิจฉาทิฐิ หลงผิดบ้าง มิฉะนั้น ในชาติต่อๆไปจะไม่มี วัว ควาย สัตว์ ฯลฯ ไว้ใช้งานนะครับ
สร้าง คุณอำนวย ต้องใช้ Learning camp
พาไป ปรับนิสัยก่อน ที่ ปูน ฯ แก่งคอย ใช้ เวลา 7 สัปดาห์ ไม่ต้อง ทำงานประจำ ฝึกอย่างเดียวเลย
ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นด้วยค่ะ หากผิดพลาดขออภัยด้วย
การทำ LO ต้องเริ่มจากใจของคนในหน่วยงานนั้นก่อน หยุดเพ่งโทษ หยุดท้อแท้ มีงานอะไรอยู่ตรงหน้าก็ตั้งอกตั้งใจทำไป เปรียบเหมือนบ้านที่เจ้าของบ้านไม่เคยสนใจจัดบ้านตัวเองให้สะอาดเป็นระเบียบ มัวแต่โทษสามี และลูกๆ ว่าไม่ช่วยกันดูแลบ้าน หากเราลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ โดยเริ่มจากสิ่งใกล้ตัวก่อน เช่นจัดโต๊ะทำงานของตัวเองทีละลิ้นชัก ไปเรื่อยๆ เสร็จแล้วก็ไปจัดตู้เสื้อผ้า จัดห้องนอน จัดห้องรับแขก จนสุดท้ายบ้านเราก็จะเป็นระเบียบเรียบร้อยเอง แต่อย่าลืมว่าการสร้างบรรยากาศเป็นสิ่งสำคัญไม่ใช่จัดไปด่าไป โทษคนโน้นคนนี้ ก็คงไม่ได้รับความร่วมมือจากลูกและสามี แต่หากเราจัดไปเปิดเพลงคลอเบาๆ เหนื่อยก็พักดื่มน้ำบ้าง ทำชีวิตให้มีความสุขอย่าเครียด ก็จะมีคนมาช่วยคุณเอง หรือหากไม่มีใครมาช่วยเราก็ตั้งใจทำไป หากทุกคนเข้าในคำว่า LO อย่างถ่องแท้ ถึงงานจะเยอะแค่ไหนก็สามารถจัดการงานได้จริงไหมค่ะ
อ่านบทความนี้ของคุณไร้กรอบผมรู้สึกสิ่งที่คาใจมานาน เริ่มมองเห็นคำตอบบางส่วนแล้ว ขอบคุณมากๆ ครับ
คำตอบ คือ ไม่มีผู้รู้ ไม่ได้ วิจัย เอาแต่คุยๆๆๆ จนกลายเป็นบ่นๆๆๆ จบลงด้วย ท้อแท้
โดยเฉพาะตรงนี้ โอ้ อาจารย์พูดได้เห็นภาพชัดมากเลยครับ เจอมาหลายคนแล้วครับและผมเองก็เป็นด้วย แหะๆ
ในที่สุด พวกครู ก็เริ่ม หาหัวปลา หัดวิจัย ว่าทำไม งานเยอะ และ คำตอบของการทำ LO & KM คือ ทำแล้ว ครูมีความสุขในการทำงานครับ
ผมเองจะทำเรื่องนี้เช่นกันครับ จะได้เคลียร์งาน+อุปสรรคออกซะที
ขอบคุณคุณเด็กวัดดอยด้วยครับที่รวมปัญหาทำให้ผมเห็นอะไรกว้างขึ้นเยอะ บอกตรงๆ ว่าผมไม่เคยเข้าร่วมทำ KM อะไรเลยแต่อาศัยยืมตำรามาอ่านเมื่อปลายปีก่อน แน่นอนว่าก็อ่านทฤษฎีไปแล้วก็ยังงงๆ อยู่ดีครับ มีคนเห็นผมอ่านเรื่องนี้ถามผม KM คืออะไรผมก็ตอบไม่เต็มปากนักว่ามันคืออะไรในตอนนั้น ตอนนี้ผมก็ยังไม่ชัดเจนดีนักแต่รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ใกล้เคียงกับการปฎิบัติธรรมอย่างที่คุณไร้กรอบว่าไว้
เห็นด้วย กับคุณเด็กวัดป่าครับ
คำตอบ ก็อยู่ ที่วัดป่า นั่นแหละ
อยู่กับปัจจุบัน
รักษาจิตให้ผ่องใส ดีดเรื่องทุกข์ ดีดความคิดขยะออกไป
Stop worrying and start living
สังเกต ครูบาสุทธินันท์ ครูสมพรสอนลิง ฯลฯ ดูนะครับ จะพบว่า ท่านเหล่านี้ คิดบวก เสมอๆครับ
เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ
มีมากก็คุย มีน้อยก็คุย เอาเฉพาะคนที่มีใจ