Praepattra
ผู้ช่วยศาตราจารย์ Praepattra Kiaochaoum

ตอนที่ ๗ คำสาปเมืองลับแล


พระครูปลัดวีระนนท์ วีรนนฺโท : เจ้าอาวาสวัดป่าเจริญราช http://www.veeranon.com/

เลือกทางเดินด้วยตัวเอง

 

พระภิกษุหนุ่มได้ผ่านการเผชิญหน้ากับพญาเสือ แล้วได้แผ่เมตตาให้พญาเสือนั้น เพื่อให้เดินทางผ่านได้อย่างราบรื่นแต่ก็มีทางเดินแยกไปหลายทาง ท่านจึงต้องตัดสินใจในการเลือกทางเอง
คนเราบางคน เมื่อมีทางเลือกแล้วบางท่านสามารถตัดสินใจได้เลย แต่อีกหลายๆคนตัดสินใจเองไม่ได้เลยก็เป็นสิ่งที่น่าคิด บางท่านไม่มีโอกาสที่จะเลือก เพราะถูกเขาเลือกหรือคนอื่นเลือกให้ เหมือนถูกบังคับให้เลือกก็มีเช่นกัน
การตัดสินใจในการเลือกทางเดินไปตามคำบอกเล่าของหลวงปู่สามเณรคำผู้เชี่ยวชาญในการเดินธุดงค์ในแถบภูเขาควายประเทศลาวนั้น ซึ่งท่านปู่สามเณรคำมีอายุอยู่มาจนปัจจุบันนี้ท่านมีอายุได้สามร้อยกว่าปีแล้ว แต่ดูร่างกายของท่านยังเหมือนคนอายุ ๗๐ หรือ ๘๐ ปี แต่ดูแข็งแรงเหมือนคนอายุ ๔๐-๕๐ ปี ซึ่งนับเป็นเรื่องประหลาดมากทีเดียว
เมื่อพระหนุ่มตัดสินใจเดินทางตามคำบอกเล่าของหลวงปู่สามเณรคำแล้วก็มุ่งเดินหน้าอย่างเดียวเหมือนพระธุดงค์ทั่วไป เมื่อสมาทานธุดงค์แล้วก็เหมือนรถยนต์ที่เติมน้ำมันอย่างดีวิ่งไปข้างหน้าไม่มีถอยหลัง ตั้งแต่เวลาเข้าจดเย็น ก็ยังไม้พ้นจากป่าทึบสักที
จนได้เวลา ๔-๕ ทุ่ม พระภิกษุหนุ่มก็หาที่ปักกลด บำเพ็ญสมณธรรม สวดมนต์นั่งสมาธิ เจริญจิตภาวนาอยู่ในป่าสงัดท่ามกลางราตรีกาลที่มืดมิดสนิท ไม่มีเสียงสัตว์ป่าร้องเลยแม้แต่ตัวเดียว
พระภิกษุหนุ่มก็กำหนดภาวนาตามกระแสสภาวจิตที่กำลังสงบลงๆตามลำดับ จนเห็นการเกิดดับของจิตอย่างต่อเนื่องและพระภิกษุหนุ่มจึงกำหนดอย่างไม่ขาดสายเหมือนดั่งเส้นด้าย จิตยิ่งมีกำลังมากขึ้น เห็นการเกิดดับของรูปนามชัดเจน เห็นการเกิดดับของขันธ์ห้า สติตามดู ตามรู้ตามเห็นอยู่ตลอดเวลาจิตก็ตั้งมั่นสูงขึ้นตามลำดับ สติละเอียดมากขึ้น
เมื่อสติละเอียดมากขึ้น สติก็เปรียบเสมือนเป็นกำแพงป้องกันไม่ให้จิตถูกสิ่งสกปรกโสโครกทำให้เน่าเหม็นหรือมัวหมองได้ นั่นก็คือ เมื่อสติดี สติแก่กล้ามากก็จะป้องกันอันตรายให้แก่จิตได้
จิตเมื่อฝุ่นเข้าไปเกาะไม่ได้ จิตก็สะอาดบริสุทธิ์ เมื่อจิตสะอาดบริสุทธิ์ขาวผ่องใสจิตนั้นก็จะเปล่งรัศมีเป็นพุทธจิตได้ อันเป็นสภาวจิตที่ไม่มีกิเลสและทำให้เกิดปัญญาที่เรียกกันว่า ภาวนามยปัญญา เป็นปัญญาที่เกิดจาการภาวนานั่นเอง
เมื่อพระภิกษุหนุ่มพิจารณาตามความเป็นจริงที่ปรากฏขึ้นที่จิต โดยที่จิตไม่ได้ปรุงแต่งหรือคิดเอาเองภาวะนี้เรียกว่าการเห็นจิตในจิตแท้ๆ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า จิตปรมัตถ์ ก็ได้

 
สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี

 

     การที่สติตามรู้ตามดูตามเห็นอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ก็จะทำให้เห็นสภาวะ ทำในธรรม

คำว่าทำในที่นี้ ทำ ตัวนี้เป็นกิริยา คือการกระทำ

ส่วนคำว่า ธรรม ตัวนี้ เป็นผลจากการกระทำให้เกิดความสุขและทุกข์หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เวทนา

เวทนาในที่นี้คือ การรับเอาอารมณ์และแสดงอารมณ์ออกมาทางกาย ทางวาจา ทางใจ เรียกว่า การเสวยอารมณ์

ถ้าสุขก็เสวยอารมณ์สุขเวทนา คือ มีอารมณ์สุขมากกว่าอารมณ์ที่เป็นเป็นทุกข์ หรือทุกขเวทนา คือ มีอารมณ์ความทุกข์มากกว่าสุข หรือเฉยๆก็เรียกว่า อุเบกขาเวทนา

แม้จะมีทุกข์อยู่แต่ก็สามารถทนอยู่ได้ การเห็นแบบนี้เรียกว่าเห็นตามแบบสติปัฏฐานสูตรหรือสติปัฏฐานสี่ เพราะการเห็นอย่างนี้มีทั้งรู้เห็น และเห็นด้วยนิมิตจริงพร้อมทั้งเห็นสภาวกายและสภาวจิตที่เป็นหทัยจิต

ซึ่งพระพุทธองค์ใช้คำว่า รู้สึก รู้เห็น รู้แจ้ง รู้ประจักษ์เห็นแจ้งความจริง (เห็นอริยสัจสี่) โดยไม่มีการปรุงแต่งขึ้นของจิตใต้สำนึก ที่เราบังคับบัญชาให้เป็นไป ถ้าเป็นอย่างนั้นเรียกว่าอารมณ์บัญญัติ ยังไม่ถึงอารมณ์ปรมัตถ์หรือคิดเอาเอง ซึ่งเป็นการจินตนาการ

ฉะนั้นอารมณ์ของการปฏิบัติที่แท้จริงถูกต้องตามหลักวิปัสสนากรรมฐานต้องเป็นอารมณ์ที่เหนือการปรุงแต่งเหนือการบังคับ แต่ไม่มีความยินดียินร้าย เพราะอารมณ์เหล่านี้เป็นอารมณ์ที่เราศึกษาอย่างมีสติรู้เท่าทันปัจจุบันอารมณ์นั้นๆ

การเกิดขึ้นของอารมณ์ต่างๆเราเป็นเพียงผู้ดู ผู้รู้ ผู้เห็นไม่ใช่ให้เราเป็นผู้ตัดสินอารมณ์เอง เพราะอารมณ์วิปัสสนา เป็นอารมณ์ที่นอกเหตุเหนือผลมากกว่าอายตนะ คือ นอกเหนือจากการรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กายแต่สัมผัสได้ด้วยจิตที่ละเอียดหรือเรียกอีกอย่างหนึ่ง คือสภาวะภายในจิต หรือจิตในจิตที่วิจิตร

เมื่อพระภิกษุหนุ่มเห็นการเกิดดับของจิตดังนั้นแล้ว ก็ไม่มีจิตที่หวั่นไหวต่อสิ่งใดในชีวิต คืนนั้นเป็นคืนแห่งชีวิตของพระภิกษุหนุ่มรูปนี้ที่ไม่มีคำว่าเหน็ดเหนื่อย แต่เป็นคืนที่ร่างกายและจิตใจของพระภิกษุหนุ่มมีพลังเดิน นั่งสมาธิได้ตลอดสามวันสามคืน เป็นคืนที่มีความสุขเหนือความสุขและเหนือคำบรรยายใดๆ เหมือนดังพุทธสุภาษิตที่ว่า

 

“นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ” สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี

 

ครั้นรุ่งเช้า พระอาทิตย์ส่องแสงลงมาบนผืนพิภพ แต่ก็สาดส่องได้บางแห่งเท่านั้น เพราะต้นไม้ใหญ่ๆมีกิ่งก้านสาขาปกคลุมไปทั่วบริเวณที่เป็นป่า ใบไม้หนาทึบ จึงทำให้แสงสว่างที่จะผ่านลงมาสู่พื้นดินยากนัก สถานที่ตรงนั้นก็เปียกชื้นไปหมด มีตัวทากอยู่ล้อมกลดของพระภิกษุหนุ่มเต็มไปหมด เหมือนเขามารอรับไออุ่นจากอุณหภูมิของพระภิกษุหนุ่ม แต่ตัวทากทั้งหลายก็ไม่สามารถเข้าไปในกลดได้

ครั้นแล้วพระภิกษุหนุ่มก็เตรียมตัวออกบิณฑบาต เมื่อเดินทางออกไปบิณฑบาต ซึ่งเป็นเรื่องตามประเพณี ตามหน้าที่ โดยที่ท่านไม่ได้หวังว่าจะได้อะไร ท่านอิ่มแล้วตลอดคืน พระภิกษุหนุ่มออกบิณฑบาตด้วยจิตใจที่เบาสบาย เดินไปได้ระยะทางประมาณสักหนึ่งร้อยเมตร ก็มีคนมายืนรอใส่บาตรอยู่สามสี่คนเป็นสุภาพสตรี ผู้มีผิวพรรณงามบริสุทธิ์ ดวงตามีประกายแวววาวเหมือนตาพูดได้

เมื่อพระภิกษุหนุ่มรับบาตรแล้วก็เดินต่อไปข้างหน้า หาที่ฉันภัตตาหาร ขณะกำลังนั่งลงก็มีโยมประมาณ ๕ คนเข้ามาขอใส่บาตรอีก แล้วก็กราบลากลับไปพอฉันภัตตาหารเสร็จก็ทำความสะอาดบาตร ก็มีโยม ๕ คนเดิมเข้ามาขอฟังธรรม

 

พระภิกษุหนุ่มก็เลยแสดงธรรมให้ฟัง หัวข้อธรรมเรื่อง อนุปุพพิกถา ๕ ได้แก่

 

๑ ทานกถา กล่าวถึงทาน

 

๒ สีลกถา กล่าวถึงศีล

 

๓ สัคคกถา กล่าวถึงสวรรค์

 

๔ กามาทีนวกถา กล่าวถึงโทษแห่งกาม

 

๕ เนกขัมมานิสังสกถา กล่าวถึงอานิสงส์การออกจากกาม

 

เมื่อแสดงธรรมจบลง ทุกคนก็กราบพร้อมกัน ขณะที่พระภิกษุหนุ่มกำลังฉันน้ำพอมองไปที่คน ๕ คน ท่านนึกว่าผีหลอกแต่เช้าหรือนี่เพราะโยม ๕ คนนั้นไม่รู้หายไปไหนพร้อมกันหมดแค่เพียงเสี้ยววินาทีเดียว

พระภิกษุหนุ่มเมื่อทำภัตกิจเสร็จทุกอย่างแล้ว ก็เริ่มปฏิบัติ โดยแผ่เมตตาจิตให้กับผู้นำภัตตาหารมาถวาย ท่านปฏิบัติเช่นนี้เป็นปกติและแผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้าป่าเจ้าเขาอีกด้วย


หลวงปู่ใหญ่สอนวิชาช่วยชาวเมืองลับแล

 

     ขณะที่แผ่เมตตาอยู่นั้น ท่านได้ยินเสียงคนร้องไห้เป็นเสียงผู้หญิงสลับกับเสียงผู้ชายที่เป็นเสียงเด็ก พระภิกษุหนุ่มก็ลืมตาขึ้นมองหาเสียงนั้น ปรากฏเห็นเป็นผู้หญิงรูปร่างเล็กตัวสูงเท่าหนึ่งศอก

พระภิกษุหนุ่มก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นประจักษ์อยู่ต่อหน้า ว่านี่คือคนจริงหรือแล้วทำไมคนตัวเตี้ย ตัวเล็กขนาดนี้ แล้วก็มีอีกสองคนตามเข้ามาสมทบอีก

ขณะที่ท่านกับประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็มีเสียงพูดขึ้นว่า “พวกโยมเป็นคนที่ตัวเล็กนี้ เพราะเป็นคนเมืองลับแล แต่ที่จริงไม่ได้ตัวเล็กอย่างนี้หรอก แต่ตัวเล็กเพราะถูกคำสาปของพระภิกษุรูปหนึ่ง เพราะพวกคนเมืองลับแลผิดสัจจะกับท่าน ที่โยมมานี้ มาเพื่อขอความช่วยเหลือจากพระคุณเจ้า เพราะโยมเห็นแล้วว่าพระคุณเจ้าจะต้องช่วยพวกโยมได้"

พระภิกษุหนุ่มตอบแบบงงๆว่า “มันเป็นกรรมของคุณโยมที่ไม่รักษาคำพูดกับพระ หลอกพระก็ถือว่าเป็นกรรม อาตมาอยากรู้ว่าโยมไปหลอกอะไรพระท่านล่ะ ทำไมโยมจึงตัวเตี้ยกันทุกคน”

เขาก็เล่าว่า “วันหนึ่งเมื่อ ๑๐๐ ปีที่ผ่านมา มีพระรูปหนึ่งเดินหลงเข้ามาในหมู่บ้านหุบเข้าของเรา พอดีท่านมาปักกลดอยู่ตรงโน้นที่เนินดินใต้ต้นมะขามใหญ่นั้น ขณะนั้นพวกโยมได้ล่าสัตว์มาสามตัวเป็นกวางตัวผู้และตัวเมีย ก็มาปรุงอาหารกินแล้วนำมาถวายท่าน พอโยมถวายท่าน

ท่านก็พูดว่า "อาตมาขอบิณฑบาตได้ไหม"  โยมก็บอกว่า "ได้" แล้วก็ตอบท่านโดยไม่ได้ตั้งใจ

ท่านพูดต่อว่า "อย่าฆ่าสัตว์อีกเลย" พวกเราก็รับปากกันกับท่าน

ท่านบอกว่า "ถ้าเราได้ แผ่นดินตรงนี้จะเป็นทองคำให้โยมนะ และจะเจริญรุ่งเรืองมาก ผู้คนจะเข้ามาศึกษาท่องเที่ยวมากขึ้น ประโยชน์ก็จะตกไปถึงลูกหลานทั้งแผ่นดิน เพราะที่นี้เป็นบ่อทองคำที่ใหญ่ที่สุดในสุวรรณภูมิ ถ้ารับคำสัจจะกับอาตมาแล้วอย่าทำผิดอีกนะโยม ถ้าทำผิดจะทำให้ได้รับกรรมตัวจะเตี้ยลงสามส่วน"

แล้วท่านก็หายไปอยู่ต่อมาพวกก็ช่วยกันรักษาสัจจะกว่า ๕ ปี วันหนึ่งก็มีลูกหลานไปล่าสัตว์ได้กวางมาอีก ๑๐ ตัว พวกเราก็นำมาเลี้ยงฉลองกันทั้งหมู่บ้าน กินกัน ๓ วัน ปรากฏว่าทุกคนก็ป่วยมีอาการผิดปกติทางร่างกาย แล้วตัวก็ค่อยๆเตี้ยลงๆ จนเหลือแค่ที่เห็นอยู่นี่ พวกโยมไม่มีที่พึ่งอื่นแล้ว พวกโยมรอพระคุณเจ้ารูปเดียวเท่านั้น”

พอพระภิกษุหนุ่มฟังเรื่องราวจบ ก็ถามว่า “อาตมาจะช่วยโยมได้อย่างไร เพราะอาตมาไม่รู้วิธีที่จะทำการแก้คำสาปให้พวกโยมได้เลย อาตมาไม่เคยรู้ไม่เคยศึกษาเรื่องเหล่านี้ และไม่เคยเชื่อว่าโลกนี้จะมีสิ่งประหลาดอย่างนี้ แต่ถ้าช่วยได้อาตมาก็จะช่วย พระภิกษุหนุ่มรับปากแต่ก็ไม่รู้วิธีจะช่วยพวกเขาได้อย่างไร”

คิดหาอุบายวิธีเท่าไรก็คิดไม่ออก เลยตัดสินใจทิ้งความคิดไว้ก่อน ท่านก็เลยนั่งสมาธิแล้วเห็นนิมิตเป็นภาพพระภิกษุผู้เฒ่าชรารูปหนึ่ง ปรากฏขึ้นแล้วเดินเข้ามาบอกวิธีแก้อาถรรพ์ คำสาบานนี้ว่า

 “ให้เอาใบมะขามมา ๑๐๘ ใบแล้วเขียนอักขรอิติปิโสถอยหลังเขียนเสร็จแล้วให้สวดอิติปิโสเดินหน้า ๑๐๘ จบ สวดถอยหลังอีก ๑๐๘ จบ สวดแล้วนำใบมะขามไปเผาไฟ แล้วสวดอิติปิโสแปดทิศและสวดบทกรวดน้ำบทใหญ่ เริ่มสวดตั้งแต่ อิมินาปุญญะกัมเมนะฯ”

พระภิกษุหนุ่มก็ก้มกราบหลวงปู่ผู้เฒ่าและถามท่านว่า “หลวงปู่อยู่ที่ไหน ขอรับ"

หลวงปู่ตอบว่า "อยู่ห่างจากนี้ประมาณ ๓๐๐ กว่ากิโลเมตร"

"ถ้าผมจะไปหาหลวงปู่จะไปถามหาหลวงปู่ว่าชื่ออะไรขอรับ”

หลวงปู่ตอบว่า “หลวงปู่ใหญ่เคยได้ยินไหม หลวงปู่ใหญ่โลกอุดร”

พระภิกษุหนุ่มตอบว่า“ไม่เคยได้ยินขอรับ เพราะกระผมเป็นพระบวชใหม่ขอรับ เพิ่งบวชได้ ๕ ปีนี้ขอรับ”

แล้วพระภิกษุหนุ่มก็ก้มลงกราบ พอเงยหน้าขึ้นมาหลวงปู่ก็หายไปแล้ว…

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

ตอนที่ ๑ ศิษย์เอกหลวงปู่พิมพา

http://gotoknow.org/blog/prapastory/381886

 

ตอนที่ ๒ ความลี้ลับแห่งขุนเขา

http://gotoknow.org/blog/prapastory/381897

 

ตอนที่ ๓ กัมมัฏฐานหลวงปู่มั่น

http://gotoknow.org/blog/prapastory/381914

 

ตอนที่ ๔ ผจญพญาเสือโคร่ง

http://gotoknow.org/blog/prapastory/381925

 

ตอนที่ ๕ หลงทาง

http://gotoknow.org/blog/prapastory/381975

 

ตอนที่ ๖ ภัยลี้ลับกับป่าดงดิบ

http://gotoknow.org/blog/prapastory/382001

 

หมายเลขบันทึก: 382020เขียนเมื่อ 5 สิงหาคม 2010 15:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 18:52 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท