KM ชุมชน กับโครงการของหน่วยราชการ


หน่วยราชการต้องมีวิธีทำงานแบบใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่

KM ชุมชน กับโครงการของหน่วยราชการ


       หมู่นี้ภรรยาเขาชม ว่าผมเอาใจเขามากขึ้น    ลดการตะลอนๆ เดินทางไปร่วมกิจกรรมต่างจังหวัดในวันหยุด    ทำให้เขาไม่ต้องเหงาอยู่กับบ้านคนเดียวอย่างที่เป็นมานาน    การได้รับคำชมจากภรรยาทำให้หัวใจเบิกบาน ความคิดสร้างสรรค์ผุด    ผมจึงบันทึกความคิดนี้ในวันอาทิตย์ที่ ๑๐ กย. ๔๘   ถ้าบันทึกนี้จะก่อผลต่อเนื่องเกิดคุณประโยชน์แก่สังคม    ขอให้ความดีนี้ตกแก่ ศ. พญ. อมรา พานิช ภรรยาผมนะครับ    นี่เป็นนวัตกรรมในการเขียน บล็อก คือมีการอนุโมทนาบุญกุศล


        การไปเยี่ยมชุมชนแพรกหนามแดง และได้ฟังการบรรยายสรุปโดยคุณสุรจิต ชิรเวทย์, คุณปัญญา โตกทอง และผู้นำชุมชนท่านอื่นๆ เมื่อวันที่ ๑๐ กย. ๔๘   ทำให้ผมเกิดแรงบันดาลใจเขียนบันทึกนี้     เป็นการเขียนด้วยเจตนาสร้างสรรค์    เพื่อลดปัญหาอุปสรรคในการพัฒนาชุมชนในรูปแบบเน้นการพึ่งตนเอง    ชาวบ้านรวมตัวกันเรียนรู้เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่แบบพอเพียง
ฟันธงลงไปเลยว่าผู้นำชุมชนที่เข้มแข็งมองว่าวิธีทำงานเข้าไปดำเนินการในชุมชนของหน่วยราชการต่างๆ ในหลายกรณี   ไม่เหมาะสม ด้วยเหตุผลต่อไปนี้  
1.       หน่วยราชการต่างๆ ลงชุมชนแบบต่างหน่วยต่างลง     ทำงานแบบแยกส่วน    ไม่ประสานกันเป็นเนื้อเดียว    ไม่รู้กันว่าหน่วยไหนลงไปทำอะไรบ้าง     ชุมชนที่เข้มแข็งอยากให้ทางราชการตกลงกันเสียก่อนว่าจะเข้าไปทำอะไรที่ชุมชนบ้าง     แล้วลงชุมชนแบบเป็นหน่วยเดียวกัน
2.       หน่วยราชการต่างก็เรียกประชุมกันแบบจ้าละหวั่น    ทำให้ผู้นำชุมชนโดนเชิญประชุมมากจนไม่มีเวลาทำมาหากิน    ถ้าไม่ไปร่วมก็จะโดนต่อว่า ว่าไม่ให้ความร่วมมือ
3.       หน่วยราชการเรียกประชุมแบบด่วน    ชาวบ้านบอกว่าหนังสือของราชการแจ้งเชิญประชุมมี ๒ แบบเท่านั้น    คือด่วนมาก กับด่วนที่สุด    ชาวบ้านตั้งตัวไม่ทัน   เพราะชาวบ้านก็มีกำหนดการทำงานของตนเหมือนกัน    อันนี้ผมว่าสะท้อนการทำงานแบบไร้แผน    หรือทำแบบลุกรี้ลุกลน    ที่ไม่ใช่เกิดต่อชาวบ้านเท่านั้น    ตัวผมเองก็เห็นอยู่เกือบจะทุกวัน    หนังสือเชิญเข้าร่วมประชุมจากหน่วยราชการเชิญแบบ “ไม่มี KM” คือไม่ทำความเข้าใจตัวผู้รับเชิญ ว่าเขามีธุระยุ่งแค่ไหน     ก็จะไม่ได้ตัวคนที่ตนต้องการเข้าร่วมให้ข้อคิดเห็น    หรือมิฉะนั้นก็เป็นการเชิญแบบเหวี่ยงแห    หรือไม่ได้ต้องการความเห็น แต่ต้องการจำนวนคนเข้าร่วม    ผมมองว่า กพร. น่าจะหาคนทำวิจัยวิธีเชิญประชุมของหน่วยราชการต่างๆ ก็จะใช้เป็นดัชนีบอกคุณภาพของหน่วยราชการได้อย่างหนึ่ง
4.       หน่วยราชการลงชุมชนแบบเร่งทำผลงาน    ทำงานเป็นชิ้นๆ ไม่ต่อเนื่อง    ชาวบ้านไม่เห็นความจริงจังของหน่วยราชการ
5.       หน่วยราชการลงพื้นที่แบบเอาโครงการสำเร็จรูปมาลง    ให้ชุมชนดำเนินการ    แล้วหน่วยราชการเก็บเกี่ยวผลงาน    หลายโครงการไม่ก่อผลยั่งยืนต่อชุมชน   หรือบางโครงการเป็นผลลบด้วยซ้ำ    มีหลายชุมชนที่เข้มแข็งมากทำความตกลงกันในชุมชนว่าจะไม่รับโครงการจากหน่วยราชการก่อนจะหารือกันในกลุ่มแกนนำชุมชนเสียก่อน ว่าเป็นโครงการที่ชุมชนควรเข้าร่วมหรือไม่    คือชาวบ้านจะไม่ร่วมมือกับหน่วยราชการแบบตัวใครตัวมัน    แต่จะร่วมมือแบบกลุ่ม   และกลุ่มจะไม่ผลีผลามรับความช่วยเหลือจากหน่วยราชการ    จะร่วมกันพิจารณาไตร่ตรองเสียก่อน   และอาจร่วมมือโดยขอปรับปรุงโครงการให้เหมาะต่อชุมชน    ถ้าเจรจาต่อรองกันไม่สำเร็จ ชุมชนก็ปฏิเสธโครงการ    ตัวอย่างของชุมชนที่เก่งถึงขนาดนี้คือชุมชนไม้เรียง จ. นครศรีธรรมราช ที่นำโดยผู้นำระดับรางวัลแมกไซไซ ประยงค์ รณรงค์    กับชุมชนบ้านผารังหมี  อ. เนินมะปราง   จ. พิษณุโลก
6.       หน่วยราชการเข้าไปด้วยวิธีคิดและความเชื่อแบบเศรษฐกิจแข่งขัน    เน้นพัฒนาแบบทุนนิยม วัตถุนิยม กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามนโยบายรัฐบาล    ในขณะที่ชุมชนที่เข้มแข็งเน้นความเป็นอยู่แบบพอเพียง    ซึ่งตรงกันข้ามกับเศรษฐกิจสังคมแข่งขัน    กล่าวแรงๆ ก็คือ หน่วยราชการเน้นพัฒนาโดยใช้กิเลสนำ    แต่ชุมชนที่เข้มแข็งมุ่งพัฒนาโดยใช้ปัญญานำ
7.       หน่วยราชการ โดยเฉพาะผู้ว่าฯ ซีอีโอ ต้องสนองนโยบายรัฐบาล    ต้องทำงานเพื่อให้โดนใจต้องตาคณะรัฐมนตรี/นายกรัฐมนตรี เป็นสำคัญ    ไม่ได้ทำงานเพื่อสนองความต้องการของชาวบ้านและชุมชน เป็นเป้าหมายหลัก
8.       หลายโครงการใช้เงินมากเกินจำเป็น จนชาวบ้านมองว่าเป็นโครงการคอรัปชั่น    ชาวบ้านที่แพรกหนามแดงเรียกว่า “โครงการกินน้ำข้าว”    หมายถึงสุนัขกินน้ำข้าว    เป็นการเรียกแบบดูถูกคนโกงว่าเป็นเหมือนสุนัข    เรื่องความระแวงว่าโครงการมีขึ้นเพื่อเป็นช่องทางหาเงินเข้ากระเป๋าตนเองและพวกพ้องนี้มีอยู่ทั่วไปหมด    บางจังหวัดชาวบ้านเล่าให้ฟังว่า สส. ฝ่ายรัฐบาลจะเข้าไปจัดการงบก่อสร้างใหญ่ๆ ทั้งหมดในจังหวัด  เพื่อหาประโยชน์เอาเงินเข้ากระเป๋า ๒๐ – ๓๐% ของงบทั้งหมด     ผมไม่ทราบว่าจริงหรือเท็จ แต่ความไม่เชื่อถือในความซื่อสัตย์สุจริตของผู้มีอำนาจในบ้านเมืองจะบั่นทอนความสามัคคีและความเจริญของบ้านเมืองของเราอย่างน่าวิตก
9.       โครงการใหม่ๆ ของรัฐบาลผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด    มีผลให้หน่วยราชการทำงานสนองนโยบายแบบฉาบฉวย    แต่ผู้รับผลร้ายจากความฉาบฉวยคือชาวบ้าน

       ความเห็นเหล่านี้ผมเก็บมาจากการลงพื้นที่และพูดคุยหลากหลายพื้นที่ หลากหลายกลุ่ม    แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีหน่วยราชการและข้าราชการดีๆ ที่ไม่เป็นตามนี้นะครับ    หน่วยราชการดีๆ ข้าราชการดีๆ ตามความคิดเห็นของชาวบ้าน/ชุมชนก็มี      และ กพร. น่าจะจัดโครงการเสาะหาหน่วยราชการขวัญใจชุมชนเข้มแข็ง    ให้ชุมชนที่เข้มแข็งช่วยกันบอกว่ามีกิจกรรม/หน่วยงาน/โครงการ ใดบ้างที่ทำงานแบบ “คุณอำนวย” เป็นขวัญใจชุมชน ไม่ทำงานแบบ “คุณอำนาจ”     กพร. ก็จะได้ตัวอย่างหน่วยงานที่ เปลี่ยนกระบวนทัศน์ ตามที่ กพร. อยากได้ เอามา ลปรร. เพื่อขยายผลไปสู่หน่วยราชการอื่นๆ ต่อไป


       จะเห็นว่าในหลายกรณี ต้นเหตุของความอ่อนแอของชุมชน ก็คือโครงการที่เขียนหรืออ้างกันว่ามีเป้าหมายพัฒนาชุมชนนั้นเอง    ทำอย่างไรเราจะช่วยกันขจัด “ผลร้ายจากความปรารถนาดี” เหล่านี้ได้     ผมมีคำตอบว่า ต้องใช้ KM    เอาตัวอย่างวิธีที่ชาวบ้านดำเนินการสร้าง “ผลดีจากความปรารถนาดี” ออกสู่สังคม    เอา ความรู้ปฏิบัติ ของชาวบ้าน มา ลปรร. กันในสังคม  
ขอย้ำนะครับ ว่าผมเสนอให้พุ่งไปที่ความสำเร็จของชาวบ้าน/ชุมชน    ไม่ใช่ความสำเร็จของหน่วยราชการ    แล้วให้ชาวบ้านช่วยกันบอกว่าความสำเร็จของเขาเกิดจากหน่วยงานราชการใดทำหน้าที่ “คุณอำนวย”    เราก็จะได้หน่วยราชการขวัญใจชาวบ้าน    วิธีทำงานของหน่วยราชการขวัญใจชุมชน    นี่คือนวัตกรรมของ KM หน่วยราชการนะครับ


        ขอสื่อถึงคุณตุ่ม น้ำ และแขกว่า โปรดพิจารณา สื่อสารความคิดนี้ไปสู่สื่อมวลชนด้วยนะครับ    เป็นเรื่องสำคัญเพื่อบ้านเมืองของเราและขอให้คุณอ้อช่วยบอกให้ผู้ประสานงานกับ สคส. ที่ กพร. ได้พิจารณาเอาความเห็นนี้เสนอผู้ใหญ่ใน กพร. ด้วยครับ


วิจารณ์ พานิช
๑๓ กย. ๔๘

หมายเลขบันทึก: 3807เขียนเมื่อ 13 กันยายน 2005 05:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 พฤษภาคม 2012 14:21 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)
โดนใจมากเลยค่ะอาจารย์ เป็นข้อคิดสำหรับทุกหน่วยงานที่ต้องการทำงานกับชุมชน ไม่เพียงแต่หน่วยราชการเท่านั้น

ความสำเร็จเล็ก ๆ ของชุมชน เป็นสิ่งที่สื่อมวลชนให้ความสนใจเหมือนกันค่ะ และสื่อเองก็อยากสะท้อนสิ่งดี ๆ ที่จะช่วยสร้างกำลังใจให้คนไทยในยามนี้เช่นกันค่ะ ซึ่งการไปดูกิจกรรมของชุมชนในที่ต่าง ๆ เรา ( ตุ่ม น้ำ แขก) จะพยายามหาแง่มุมความสำเร็จเล็ก ๆ ของชุมชนมานำเสนอแก่สื่อมวลชนค่ะ  และหากไม่มีอะไรผิดพลาดในช่วงเสาร์-อาทิตย์นี้ อาจได้ไปดูความสำเร็จของกลุ่มผู้สูงอายุบ้านหัวถนน ที่สร้างนวัตกรรมการออกกำลังกายด้วยท่าสานเสื่อกระจูด  แล้วจะกลับมาเล่าให้ฟังค่ะ

ขอขอบคุณครับที่ช่วยย้ำประเด็นที่ถือว่ามีความสำคัญมาก ..

ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับที่อาจารย์หมอวิจารณ์บอกว่าให้ช่วยย้ำ ความสำเร็จของชาวบ้าน/ชุมชน    ไม่ใช่ความสำเร็จของหน่วยราชการ    แล้วให้ชาวบ้านช่วยกันบอกว่าความสำเร็จของเขาเกิดจากหน่วยงานราชการใด ที่ทำหน้าที่ “คุณอำนวย”    เราก็จะได้หน่วยราชการขวัญใจชาวบ้าน  

ประเด็นนี้ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้เราได้ "ความจริง" ซึ่งชาวบ้านที่ทำงานจะสามารถบอกได้ว่าหน่วยราชการใดมีส่วนช่วยเป็นคุณอำนวยให้เขาปฏิบัติงานได้ผลสำเร็จบ้าง และเรา(พี่ตุ่ม พี่น้ำ แขก)ก็ไม่ต้องมานั่งเดาใจว่าหน่วยราชการนั้นๆ ทำงานเพื่อชุมชนจริง หรือเป็นแค่ผักชีโรยหน้า

เรื่องนี้จริงๆแล้วผมก็ไปฟังมาด้วยเหมือนกัน แต่ไม่มีโอกาสสรุปประเด็นต่างๆได้ละเอียด และอาจจะด้วยไม่มีประสบการณ์ในการสื่อสารเรื่องราวละเอียดอ่อนอย่างนี้ให้ผู้อื่นเข้าใจได้ จึงไม่ได้แชร์เรื่องนี้ให้คนอื่นฟังครับ ได้แต่สรุปพอให้ตัวเองเข้าใจในมุมมองที่ชาวแม่กลองได้สะท้อนให้ฟัง

...ซึ่งขอชื่นชมชาวบ้านที่แม่กลองมากครับ ที่ช่วยให้ผมได้เปิดโลกทัศน์ของตัวเองมากขึ้น ฟังชาวบ้านพูดแล้วเพลินมาก ให้ฟังทั้งวันผมก็ฟังได้ ฟังง่าย เข้าใจกันตรงๆ

แถมยังได้ความรู้ในตัวคน(ชาวบ้าน) ที่สะท้อนเรื่องราวต่างๆ (น้ำขึ้นน้ำลง ปรากฏการณ์ธรรมชาติ วิถีชีวิต ฯลฯ) ออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์

สุดท้ายผมขอขอบคุณ สกว.ที่เปิดโอกาสให้ผมได้ร่วมเดินทางไปเรียนรู้ในครั้งนี้ครับ.

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท