เช้าวันที่ 7 ก.ค.49 ผมตื่นขึ้นมาที่โรงแรมรามายะลา ซึ่งมรภ.ยะลาได้เปิดให้พักหลักจากเสร็จสิ้นภารกิจการทำหน้าที่คุณอำนวยแก่ทีมงาน KM และการบรรยาย KM แก่ จนท.ทั้งหมด ผมเปิดทีวีก็ได้ทราบข่าวว่ามีการลักทรัพย์มากมายจำนวนกว่า 100 กว่าล้าน จากบ้านของหม่อมหลวงภูวดล ฯ ที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ทราบรายละเอียดจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ที่พนักงานนำวางอยู่ในห้อง ก็พบว่าโจรคือชายผู้ที่เจ้าของบ้านนำมาชุบเลี้ยงอย่างดี แล้วต่อไปใครที่มีโอกาสดี ๆ จะกล้าหยิบยื่นโอกาสนั้นแบ่งปันให้กับคนอื่น คงกลัวและปกป้องตนเองกันหมด กลายเป็นสังคมที่เห็นแก่ตัว
คนที่โดนรถชน นอนบาดเจ็บอยู่ข้าง ๆ ถนน มากนักต่อนัก ที่คนขับรถโดยทั่วไป จะถูกสอนไว้ให้เป็นบทเรียนว่าอย่าจอดรถผลีผลามลงไปช่วยดู ช่วยเหลือ เพราะจะถูกทำร้ายโดยญาติที่มาถึง หรือไม่ก็จะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ชน หรือมีส่วนทำให่เกิดการชนเกิดขึ้น แม้จะพิสูจน์ได้จริงในภายหลัง แต่แน่นอน หากต้องขึ้นโรงขึ้นศาล บ้านเรากล่าวไว้ว่า “หายนะ” จะมาเยือน นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ตอกย้ำว่า ความดีได้ค่อย ๆ ถูกทำลายลงไปเรื่อย ๆ และยิ่งทวีคูณมากขึ้น มากขึ้นในปัจจุบัน
การที่คุณครูตีเด็กตามความเหมาะสมในอดีต ตั้งแต่รุ่นผมยังเรียนอนุบาลจนถึงประถมศึกษา 6 ไม่เห็นใครเคยกลับไปฟ้องพ่อแม่ ไม่เคยได้ยินพ่อแม่จะมาฟ้องร้องครูว่าตีลูกเขา ไม่เคยเห็นครับว่า คุณครูจะต้องถูกลงโทษทางวินัยเพราะไปตีเด็กเพื่อสอนสั่งให้เป็นคนดี หากแต่วันนี้การตีเด็กยังทำได้ แต่ต้องนำไม้เรียวมาวัดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเสียก่อน และถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐานด้วย เพื่อจะโดนผู้ปกครองฟ้องร้องเอาภายหลังจะได้งัดมาต่อสู้ นี่ก็เป็นตัวอย่างที่คลาสสิกอีกเรื่องที่จะนำเสนอไว้ให้ได้ทบทวนดู
สังคมนี้มีแต่คนดีและความดีที่ถูกทำลาย(ล้าง)ลงไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นความเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบ เอาตัวรอด ส่วนความโอบอ้อมอารีย์ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน จะลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ๆ จากเมืองค่อย ๆ คืบคลานแผ่ขยายไปยังชนบท ที่พืชผักรอบ ๆ บ้านเคยแบ่งปัน ก็กลับเป็นการซื้อขาย การนำแกงเมื่อทำเสร็จใหม่ ๆ ไปแจกจ่ายรอบ ๆ บ้านใกล้เรือนเคียง จะมีให้เห็นอีกหรือ คนบ้านติดกันกลับไม่เคยได้พูดกันทั้งปี ก็กลับมีให้เห็นเป็นปกติแทน
ชาญวิทย์ -นครศรีฯ