สมมุติหมด ก็ "ว่าง" ได้


 

 

           ลูกสาววัย ๑ ขวบ ๑๑ เดือน วันนี้ 6 ทุ่มแล้วยังไม่นอน ทั้งนี้เพราะตอนหัวค่ำเธอหลับไปแล้วรอบหนึ่ง พอจะดับไฟนอนเธอก็ไม่ยอม ผมก็เลยเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสเสียเลยโดยการหยิบหนังสือ "หลักของใจ" ขึ้นมาอ่าน

          วันนี้เป็นวันดีหลายอย่าง เช่น เมื่อวานถมดินเสร็จ แต่ปลูกต้นไม้ยังไม่เสร็จ วันนี้ไปปลูกต่อพอปลูกเสร็จฝนก็ตกรดน้ำต้นไม้ให้พอดี วันนี้เซ็นสัญญาออกรถ March คันใหม่ให้แม่บ้าน แต่จะได้รับรถก็สัปดาห์หน้า และวันนี้ก็ได้สุนทรียเสวนากับทีมงานออกแบบ e-Learning ที่ได้ข้อสรุปแนวทางปฏิบัติชัดเจนยิ่งขึ้น

         แต่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับวันนี้เกิดขึ้นตอนประมาณ ๑.๓๐ น. วันนี้เอง เป็นความบังเอิญที่ผมได้อ่านหนังสือ "หลักของใจ" หน้า ๑๐๒-๑๐๔ เป็นบันทึกธรรมพรรษาที่ ๑๖ ของพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ผมเคยอ่านเนื้อหาตอนนี้มาแล้วรอบหนึ่ง รอบแรกนั้นเห็นแต่เห็นไม่หมด แต่รอบนี้เห็นชัดขึ้นกว่าเดิม อยากให้ท่านทั้งหลายได้ปฏิบัติตามอย่างยิ่ง

        ถ้าจะนำมาบันทึกไว้ทั้งหมดก็เกรงว่า จะกลายเป็นธรรมสัญญาทั้งต่อตนเองและผู้อื่น จึงขอสรุปบทเรียนตามที่เห็นด้วยปัญญาอันน้อยนิดนี้เป็นธรรมทานดังต่อไปนี้ครับ

  • ผมเข้าใจว่า บนเส้นทางแห่งการฝึกตนนั้น เราจะเห็นความละเอียดของกายใจ โลก และธรรมในระดับที่ละเอียดมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ไตรลักษณ์เองสำหรับแต่ละคนก็จะเห็นละเอียดต่างกันไป หรือแม้แต่ตัวเราเองในช่วงเริ่มแรกกับปัจจุบันก็เข้าใจและเห็นไตรลักษณ์แตกต่างกันไปตามระดับภูมิธรรมที่สมมุติขึ้น
  • ท่านผู้ฝึกตนจะผ่านขั้นต่าง ๆ ธรรมต่าง ๆ ที่ละเอียดขึ้นเรื่อย ๆ จากต่อสู้ผลัดกันแพ้ชนะกับโลภ โกรธ หลง ก็จะสามารถเห็น ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น หรือ เอาชนะโลภ โกรธ หลง ที่สมมุติว่าเป็นธรรมหยาบได้นั่นเอง
  • เมื่อผ่านขั้นอุเบกขาปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือมั่นกับส่วนหยาบทั้งหลาย เช่น โลภ โกรธ หลง เป็นอาทิได้แล้วนั้น รู้หมด เข้าใจหมด ปล่อยวางได้หมดแล้ว แต่ก็ยังแสดงอาการลุ่ม ๆ ดอน ๆ ตามขั้นแห่งความละเอียดของจิตให้เราเห็นอยู่ บางทีก็มีลักษณะเศร้าหมองบ้าง ผ่องใสบ้าง ทุกข์บ้าง สุขบ้าง ตามขั้นละเอียดของจิตภูมิ สติปัญญาในขั้นนี้เป็นองครักษ์รักษาจิตดวงนี้อย่างเข้มงวดกวดขัน
  • ท่านหลวงตา พบว่า ...

 

จิตผู้รู้นี้มันยังเป็นสมมุติ มันจะสง่าผ่าเผยขนาดไหนก็สง่าผ่าเผยอยู่ในวงสมมุติ จะสว่างกระจ่างแจ้งขนาดไหนก็สว่างกระจ่างแจ้งอยู่ในวงสมมุติ เพราะอวิชชายังอยู่ในนั้น

อวิชชานั้นแลคือตัวสมมุติ 

... ความเศร้าหมองก็ดี ความผ่องใสก็ดี ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี
เหล่านี้ เป็น "สมมุติ" ทั้งสิ้น และเป็น "อนัตตา" ทั้งมวล...

 

สิ่งที่ได้เรียนรู้

             ศิษย์โง่อย่างเรา ไม่ได้ปฏิบัติเองเห็นเอง แต่เรียนรู้จากการอ่านและฟังเอา เป็นธรรมสัญญา ถึงแม้จะเห็น "ความว่าง" ก็คงเป็นการเห็นชั่วคราว อีกไม่ช้าก็คงถูกแรงดึงดูดของวัฏสงสารดึงเข้าไปสู่กงล้อตามเดิม คำถามมีอยู่ว่า เราจะ "ว่าง" ออกจากสมมุตินี้ได้นานเพียงใด? ถ้าเราหลงเข้าไปอีกแล้ว เราจะกลับออกมาอีกได้อย่างไร ?

             ถึงแม้จะเป็นธรรมสัญญาที่ได้มาจากการอ่านการฟังก็ตามแต่ เพื่อเป็นการไม่ประมาทแล้ว คงต้องทำเป็นสัญลักษณ์ เขียนบรรยายสภาพการณ์และทางเข้ามาพอให้เข้ามาง่ายขึ้นไว้ดีกว่า เพราะถ้าผ่านคืนนี้ไป แล้วทุกสิ่งกลับมาเหมือนเดิม ผมเชื่อว่า ถึงแม้กลับมาอ่านอีกหลายครั้งก็ใช่ว่า จะเป็นเช่นการเห็นชั่วคราวนี้ได้

  • ตราบใดที่จิตยังมีอวิชชา อวิชชานั้นแลคือตัวสมมติ
  • ความเศร้าหมองก็ดี ความผ่องใสก็ดี ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี เหล่านี้เป็นสมมุติทั้งสิ้น  และเป็นอนัตตาทั้งมวล...
  • ถ้าจะตัดอวิชชา ก็ต้องตัดตัวสมมติให้หมด 
  • ต้องเห็นและรู้จัก "สมมุติ" ให้ชัด แล้วตัดและปล่อยวางให้หมด
  • เราจะเข้าสู่สภาวะที่น่าจะเรียกว่า "ความว่าง" (จากสมมุติ)
  • พึงระลึกว่า วิถีชีวิตและการงานแห่งปุถุชน จะยอมปล่อยเราให้ออกจากวัฎสงสารง่าย ๆ ฦๅ?

 Icer2010a

 

หมายเลขบันทึก: 374847เขียนเมื่อ 14 กรกฎาคม 2010 02:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:12 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

ขอบคุณค่ะอาจารย์...บางทีดิฉันไม่ค่อยมีเวลาอ่านหนังสือธรรมะสักเท่าไร....ด้วยภาระงานและอะไรหลายอย่าง..ทำให้คำว่า"ไม่มีเวลา"เป็นข้อแก้ตัวอยู่เสมอ...ก่อให้เกิดความสับสน...ทำให้"ว่าง"ในจิตใจได้ยากเหมือนกัน....จะพยายามว่างสักนิดเพื่อเข้าสู่สภาวะที่"ว่าง"อย่างแท้จริง.....ขอบคุณอีกครั้งสำหรับหลักของใจดีๆค่ะ....วรรณภา มหาสารคาม22

 

สวัสดีครับ คุณ วรรณภา

  • ส่วนใหญ่ผมจะอ่านก่อนนอนครับ บางทียังไม่ได้เปิดหนังสือก็หลับก่อนก็มีครับ และก็นำติดกระเป๋าไปด้วย วางไว้ที่รถ ที่โต๊ะทำงานบ้างครับ ถ้าว่างสัก 5-10 นาทีก็อ่านเพลิน ๆ เอาครับ ถ้าวันไหนว่างจริง ๆ ก็จะบุกหนักเป็นเล่ม ๆ ไปครับ
  • ขอให้เห็น "ความว่าง" ในเร็ววันนะครับ

 

อนุโมทนาสาธุครับ ท่านอาจารย์ภูฟ้า

ขอบพระคุณสภาวะธรรมที่นำมาฝากนะครับ

 

สวัสดีครับ ท่าน Phornphon

  • กระผมพยายามอ่านบันทึกธรรมพรรษาที่ 16 ของท่านหลวงตาอยู่เป็นนาน ท่านก็บรรยายไว้อย่างดี แต่ด้วยความด้อยปัญญาเข้าไม่ถึงจึงไม่เห็น เมื่อคืนนี้อ่านอีกรอบเริ่มเห็นชัดขึ้น ๆ จึงนำมาบันทึกเอาไว้ครับ
  • ในโอกาสต่อไปจะนำรายละเอียดในหน้า 102-104 มานำเสนอไว้เป็นธรรมทานต่อไปครับ

 

 

 

  • สัปดาห์ก่อนผมเข้าใจเพียงว่า จะเพียรพยายามขัดเกลาใจจิตใจให้สะอาด เพิ่มพลังสติ สมาธิ ปัญญา ให้สามารถจำแนกแยกแยะว่าสิ่งใดคือกิเลส สิ่งใดคือจิตเดิมแท้ 
  • แต่เมื่อคืนนี้ มีความเข้าใจเพิ่มเข้ามาว่า เจ้ากิเลส อวิชชา ที่เคลือบใจอยู่นี้ช่างแหลมคมนัก ทุกสิ่งทุกอย่างที่ออกมาจากจิตที่มีอวิชชานั้น ก็จะโดนเจ้าอวิชชาหลอกเอาอย่างละเอียดจนได้ ถึงแม้จะขัดเกลาให้สะอาดสักเพียงใด ก็คงสู้เจ้าอวิชชาไม่ได้
  • เพราะฉะนั้นมือใหม่อย่างเรา ที่ยังเป็นธรรมสัญญาอยู่ จึงต้องฝึกปล่อยวางผลิตผลของจิตทุกประการอย่างสิ้นเชิง เพื่อตัดรากถอนโคนเจ้าอวิชชาให้ได้ประมาณนั้นครับ

 

สัจจะสมมุติ...ภาพมายาที่ไร้ตัวตน..ทุกอย่างเป็นเช่นนั้นเอง

พึ่งอ่านมุตโตทัยของหลวงปู่มั่นเสร็จ...ยอดเยี่ยมมากครับ

 

นมัสการพระคุณเจ้า

สัจจะสมมุติ...ภาพมายาที่ไร้ตัวตน..ทุกอย่างเป็นเช่นนั้นเอง

 

  • เช้านี้ได้ฟังเทศน์จากพระคุณเจ้าเกี่ยวกับ "สมมุติ กับ วิมุติ" ทำให้ได้ความรู้และจิตใจสงบขึ้นมากเลยครับ
  • กระผมเองก็จะกลับไปอ่าน "มุตโตนัย" อีกหลาย ๆ รอบครับ

 

 

สวัสดีครับอาจารย์ ขอบพระคุณนะครับกับธรรมอันลึกซึ้ง เข้ามาอ่าน2-3 ครั้งแล้วมีความสุขชวนคิดพิจารณา..สบาย ตรงสิ่งที่ได้เรียนรู้ "ศิษย์โง่อย่างเรา" อาจารย์ยังพูดอย่างนี้ เลยย้อนมองตัวเองแล้วเราจะขนาดไหน อาจารย์ข่มตนมากไปหรือเปล่าน้อ ส่วนศิษย์ที่เข้ามาเรียนรู้ถือว่าเป็นบุญบ้างแล้วที่อาจารย์ช่วยลากขึ้นจากตมแห่งคมมืดที่ทับถมมานานนับกาลไม่ได้ เป็นบุญจริงๆ ขอบพระคุณครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท