เปล่าครับ ไม่ได้เขียนบทความพุทธอะไร ผมไม่มีปัญญาทำอะไรแบบนั้น ขอยืมคำนี้มาเพราะคิดว่าน่าจะรวบยอดความคิด ความหมาย ของสิ่งที่กำลังจะแบ่งปันตรงนี้ได้ชัดเจนที่สุด
สำหรับ OM มีอะไรที่ "โดน" หนึ่งในนั้นก็คือ การสะท้อนเรื่องความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยง หรือ การมองเห็นว่าผลลัพธ์นั้นมีที่มาจากเหตุปัจจัยมากมาย ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะ "น้ำมือของข้าคนเดียว" เท่านั้น อย่างที่โปรเจคเมคเกอร์หลายๆคนเขียนแผนมาก่อน แสดงออกจากการที่ OM จะพูดถึง direct partners ร่วมกับ strategic partners ด้วยเสมอ
ของดีหลายๆอย่างของเรา ต้องแปลเป็นของฝรั่งก่อนถึงจะถูกนำกลับมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นอริยสัจสี่ (Problem-based learning), กาลามสูตร (evidence-based medicine) อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าบอกอิทัปปัจจยตา หรือปฏิจสมุปบาท ก็คงจะไม่โดนเท่า Outcome Mapping กระมัง
ในการทำ workshop คราวนี้ หมอวรวุฒิได้ทำ pre-medication (ภาษาเทคนิกทางการแพทย์ คือปกติก่อนหมอจะเอาคนไข้ไปดมยาสลบผ่าตัด เพื่อให้การดมยาสลบราบรื่น ไม่ติดขัด หมอดมยาจะไปให้อะไรนิดๆหน่อยๆก่อน ตั้งแต่การอธิบายขั้นตอนต่างๆ ทำอะไรบ้าง ทำไปทำไม จนไปถึงอาจจะแถมยานอนหลับ ยาคลายเครียดอ่อนๆ พอเคลิ้มๆสบายๆ ในที่นี้ก็เป็นการเตรียมสภาพของผู้เข้า workshop ก่อนนั่นเอง) ไปแล้ว คือ อธิบายที่มาที่ไปของ OM และเชื่อมโยงกับวิธีที่เคยทำมาก่อน คือสุนทรียสนทนา มาเป็นกระบวนการหลักของ workshop ครั้งนี้
คราวนี้เริ่มต้นเรายังงงๆกันอยู่ ซึ่งเป็นข่าวดี ถ้าไม่งง เข้าใจแจ่มแจ้งมาแล้ว มักจะพบว่าเข้าใจผิด และรับสิ่งใหม่ๆยากมากเลย กว่าจะกลับตัวกลับใจ เพราะฉะนั้นมาด้วยงงๆ ไม่แน่ๆใจนี่แหละดี เป็น mentality ที่เปิดการรับรู้เต็มที่
ลองระบบ panorama ของ TX5 ครับ นี่หมอวรวุฒิ มานั่งดู Ws อย่างใกล้ชิด
เจ้าหน้าที่คปสอ.มากันทั้ง 17 สอ.เลย คับคั่ง หลากหลาย ปรากฏว่าเราเริ่มจากมี potential direct partners ทั้งหมด 21 กลุ่มเลยทีเดียว เป็นกลุ่มที่จัดตั้งมาแล้ว ใหม่บ้าง เก่าบ้าง ด้วย agenda ต่างๆนานา ที่เจ้าหน้าที่สำนักอนามัยของเราได้ทำงานร่วมกันอยู่ นี่จะเป็นต้นทุนของงานนี้
ตามธรรมเนียมก็ต้องหาวิสัยทัศน์ที่สร้างแรงบันดาลใจก่อน เพราะถ้าไม่ดี ก็คงจะหา direct partners มาซื้อโครงการกะเรายาก อันนี้เล่นไม่ยาก เพราะ OM นั้น เน้นการเขียนวิสัยทัศน์จากคำถามที่ว่า "องค์กรของเราจะสำเร็จนั้น ผู้รับประโยชน์จะได้อะไร จะเป็นยังไง?" วิสัยทัศน์เราก็กลายเป็น "สันทรายเป็น อำเภอที่มีความสุข" เพียงเท่านี้ ก็เกิดแรงบันดาลใจเหลือเฟือแล้ว
เรื่องของเรื่องมันจะท้าทาย เพราะพอเขียนแบบนี้ มันไม่เหมือนตอนผมทำ OM กับหน่วย palliative care ที่ รพ. ม.อ.แล้ว เพราะความซับซ้อนของ direct partners น้ันมากกว่ากันหลายร้อยเท่า แทนที่จะมีแค่เจ้าหน้าที่หน่วย core group ของหมอ ของพยาบาล พอเราตั้งโจทย์เป็น "สุขภาวะ" ของคนทั้งอำเภอ เรื่องของเรื่องจึงเกิดความยากขึ้นมาทันที
ถึงตอนนี้เราต้องรีบสงบจิต สงบใจ แล้วกลับไปดูไพ่ในมือก่อน อย่าพึ่งรีบกระโดดออกไปหาไพ่นอกมือ
ไพ่ในมือก็คือกลุ่มที่เราทราบว่าเขา "มีใจ" ที่จะทำงานในทิศทางเดียวกับเราอยู่แล้ว ใน OM นั้น "มีใจ" สำคัญมาก การเลือก direct partners ผิด คือ เอาคนไม่มีใจมาเป็น direct partner ไม่เพียงแต่จะเกิดความไม่สำเร็จแล้ว ยังเกิดความทุกข์ระหว่างทำงานได้ง่ายๆ และการเริ่มที่ "มีใจ" ก็จะเป็นหนทางไปสู่การเรียนรู้ที่สนุก น่าตื่นเต้น ไม่ได้มองอะไรต่อมิอะไรเป็นแข็งกระด้าง หรือมัวแต่กลัวความล้มเหลวอยู่ตลอดเวลา หากแต่มองสิ่งที่จะเกิดขึ้นเป็นการเรียนรู้เสียแทน
มาเรียนพุทธศาศนา พิมพ์ผิดครับ
เห็นด้วยอย่าแรงค่ะ
"มีใจ" สำคัญมาก การเลือก direct partners ผิด คือ เอาคนไม่มีใจมาเป็น direct partner ไม่เพียงแต่จะเกิดความไม่สำเร็จแล้ว ยังเกิดความทุกข์ระหว่างทำงานได้ง่ายๆ และการเริ่มที่ "มีใจ" ก็จะเป็นหนทางไปสู่การเรียนรู้ที่สนุก น่าตื่นเต้น ไม่ได้มองอะไรต่อมิอะไรเป็นแข็งกระด้าง หรือมัวแต่กลัวความล้มเหลวอยู่ตลอดเวลา หากแต่มองสิ่งที่จะเกิดขึ้นเป็นการเรียนรู้เสียแทน
กำลังค้นหาข้อมูลไปประกอบการทำ CQI เรื่อง Palliative careแต่อยากทดลองเขียนแบบ OM เลยมาติดแหง็กอยู่ในป่าเรื่องราวความรู้ของอาจารย์ อ่านแล้วเพลินมากเลยค่ะ
ท่านคันฉ่อง
ดีใจจังที่ได้มีโอกาสไปพบท่านเมื่อมีนาคมที่เมืองทองและได้มาอ่านเรื่องดีๆที่ท่านเขียนค่ะ