เด็กโต เริ่มหัดเขียนบันทึกเรื่องที่สนใจ และใช้กระบวนการสุนทรียสุนทนาร่วมกัน


เด็กโต เริ่มหัดเขียนบันทึกเรื่องที่สนใจ และใช้กระบวน

การสุนทรียสุนทนาร่วมกัน

         กลุ่มเด็กโตของบ้านมีทั้งหมดจำนวน 12 คน ที่เรียนในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 จนถึงปีที่ 6   ทางบ้านอุปถัมภ์เด็กต้องใช้กระบวนการเสริมทักษะให้กับเด็กโดยเฉพาะเรื่องกระบวนการคิด  กระบวนการให้เด็กได้แสดงความคิดเห็น  กระบวนให้เด็กมีส่วนร่วมในการกำหนดกิจกรรม  กำหนดกติกา   แต่สุดท้ายบางครั้งก็ต้องให้เด็กไม่ได้ทำบ้าง

        กลุ่มเด็กโต ทุกคนที่ทำงานหรือเพื่อนๆที่ทำงานในการดูแลเด็ก ทุกคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า  เด้กสมัยใหม่ ไม่ยอมทำอะไร  นอนอย่างเดี่ยว ไม่ค่อยรับผิดชอบงานที่มอบให้  แต่งตัวตามแฟชั่น   ผู้เขียนเห็นด้วยทุกประการ  แต่สิ่งที่เราต้องเสริมให้เด็ก ถึงแม้จะต้องบ่นหรือตามบ้างก็จำเป็น

        สิ่งที่ให้เด็กทำทุกวัน  อย่างน้อยวันจันทร์ ถึง วันพฤหัสบดี

        (1) เด็กต้องเขียนบันทึกความคิดเห็นเรื่องที่เราคุยกัน  หรืออ่านจากบทความในแง่มุมต่างๆ  เพื่อต้องการให้เด็กเขียนหนังสือถูกต้องตามหลักไวยากรณ์  เป็นต้น

         (2) ดูหนังร่วมกันระหว่างครูกับเด็ก  พร้อมทั้งในแง่คิดในเรื่องดีดี  หรือได้คติสอนใจของเด็กเรื่องอะไรบ้าง

          (3) ฝึกให้เด็กได้แสดงความคิดเห็น  โดยผ่านกระบวนการสุนทรียสนทนา  และเด็กเองได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันเพื่อนทุกคนในบ้าน

หมายเลขบันทึก: 370697เขียนเมื่อ 30 มิถุนายน 2010 10:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:08 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)

กว่าเด็กจะเขียนได้ หลายคนไม่กล้าเขียน แต่เมื่อเด็กได้ลองเขียนดู เด็กทุกคนเริ่มรู้ค่าว่านี้แหล่ะความคิดของเราที่มีโอกาสได้ถ่ายทอดในสิ่งที่ทำ ด้วยมือของเราเอง

เริ่มกิจกรรมที่ 1 ให้เด็กโต ตั้งแต่ ป.6 ขึ้นไป จนถึง ม. 6 ได้ให้เขียนถึงความฝันของพวกเขาทุกคน

ส่วนมากความฝันของเด็ก คือ เป็นครู ประทับใจในการทำงานของครูที่ประคับประคองชีวิตของเด็ก ทั้งในโรงเรียนและที่บ้าน

กิจกรรมที่ สาม ที่ฝึกให้เด็กดูหนังเรื่อง เดอะคอนรัส เป็นหนังที่เกี่ยวกับการปฏิบัติการ ดูแลเด็กในสถานสงคราะห์แห่งหนึ่งที่ครูใหญ่ใช้อำนาจตามทฤษฎี แรงไปแรงกลับ แต่มีคุณครูท่านหนึ่งท่านได้ใช้กระบวนการวินัยเชิงบวก โดย

1.รู้จักเด็กเป็นรายบุคคล ที่เด็กแต่ละทีศักยภาพที่ไม่เหมือนกัน มีดีแต่ละคนที่แตกต่างกัน แต่เด็กทุกคนใฝ่ดี

2.การใช้กิจกรรม การร้องเพลงประสานเสียง ในการเข้าถึงเด็ก

3.คุณครูเป็นผู้ให้อภัย ให้โอกาส

เมื่อดูหนังเสร็จให้เด็กเขียนถึงความรู้สึกว่า 1.ถ้าเป็นเด็กในสถานสงเคราะห์แห่งนี้จะทำตัวตามภาพยนต์หรือไม่

2.รู้สึกกับการปฏิบัติตัวของคุณครูอย่างไร

3.หนังเรื่องนี้สอนชีวิตอะไรพวกเรา ในการอยู่บ้านสงเคราะห์เหมือนกัน แต่การปฏิบัติตัวดูแลเด็กที่แตกต่างกัน

กิจกรรมที่สอง ครูและเด็กได้พูดคุยเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร โดยให้อ่านบทความแล้วให้เด็กหัดวิเคราะห์ว่าเด็กได้อะไรจากข้อคิดในเรื่องนี้ ซึ่งหลายประเด็นน่าสนใจมาก

1.ไม่ควรมีเพสสัมพันธ์ก่อนอายุ 18 ปี หรือกำลังอยู่ในวัยเรียน

2.เวลาเมื่อเกืดปัยหาขึ้นมา ควรที่จะมีการบอกผู้ใหญ่ หรือพ่อแม่มาร่วมแก้ไขปัญหาด้วยกัน

3.ควรที่จะต้องมาร่วมกันแก้ไขปัญหา ของทั้งสองคนที่เป็นแฟนกัน

4.เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาอย่าคิดที่จะทำแท้งโดยเด็ดขาด หาทางออกที่ดีกว่า

5.สิ่งที่สำคัญเป็นการป้องกันปัญหา เด็กทุกคนมีหน้าที่เรียนก่อน เรียนให้จย แล้วค่อยมีแฟน

กิจกรรมที่ 4 ไปเยี่ยมคุณครูโชติมา เพิงสงเคราะห์

คุณครูป่วยเป็นมะเร็งรังไข่ระยะสุดท้าย ทางกลุ่มเด็กโตอยากที่จะไปเยี่ยม ครูทีนอนป่วยอยู่ ที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ซึ่งอาการไม่ดีเท่าที่ควร

เมื่อไปเยี่ยมแล้วให้เด็กเขียนถึงความรู้สึกต่อคุณครูกระแต

เด็กที่เขียนถึงครูกระแต

หนูรู้สึกสงสารครูกระแตมาก เพราะหนูคิดว่าการที่ได้ใส่สายออกซิเจนและหายใจทางปากนั้นเป็นเรื่องที่ทรมานมาก ถึงหนูจะเป็นเด้กที่เข้ามาใหม่และไม่ได้ผูกพันกับครูกระแตมาก่อน สุดท้ายนี้หนูขอให้ครูกระแตได้มาอยู่กับพวกเราทุกคน และขอให้ครูเข้มแข็งไว้นะค่ะ พวกเราทุกคนคอยเป็นกำลังใจให้ครูค่ะ

รักคุณครูมาก

หนูส้ม

สวัสดีค่ะ

มีดอกไม้มาเป็นกำลังใจค่ะ

พี่ณัฐรดา

ดอกกล้วยไม้สวยมากค่ะ

และมาให้กำลังใจในช่วงที่ดีมากเลยค่ะ

เพราะกำลังจะหมดแรงแล้ว ขอบคุณมากๆๆๆๆๆๆๆ

กิจกรรมที่ 5 ได้ให้เด็กอ่านบทความพร้อมทั้งการวิเคราะห์ข้อมูล

เรื่อง วัยรุ่น ต่ำกว่า 20 ไทยแชมป์ "ท้อง "ในเอเชีย

จากข้อมูลการสำรวจขององค์การอนามัยโลก (WHO) ประเทศไทยมีจำนวนหญิงตั้งครรภ์และคลอดบุตรที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี ถึงร้อยละ 13 สูงกว่าเกณฑ์ที่ทั่วโลกระบุกำหนดไว้ร้อยละ 10

ขณะที่ข้อมูลของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พบว่า ในปี 2551 มีทารกคลอดทั้งหมด 797,356 คน เป็นทารกที่คลอดจากมารดาอายุน้อยกว่า 20 ปีบริบูรณ์ จำนวน 95,747 คน คิดเป็นร้อยละ 12 ของทารกที่เกิด นอกจากนี้ ที่น่าตกใจ จำนวนแม่ที่อยู่ในวัยแรกรุ่น คือหญิงที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์มีมากกว่า 3,000 คนต่อปี

ในที่ประชุมองคืการอนามัยโลก เมื่อปี 2552 ซึ่งมีประเทศสมาชิก 190 ประเทศเข้าร่วมประชุม ระบุว่า ค่าเฉลี่ยของผู้หญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี ของทั่วโลกอยู่ที่ 65 ต่อ 1,000 คน ส่วนค่าเฉลี่ยของผู้หญิงในทวีปเอเชียอยู่ที่ 56 ต่อ 1,000 คน

โดยประเทสไทย มีผู้หญิงตั้งครรภ์ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี จำนวน 70 ต่อ 1,000 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงสุดของประเทศในทวีปเอเชีย สาเหตุเป้นเพราะพัฒนาการทางร่างกายของเด้กเข้าสู่วัยรุ่นเร็วขึ้น

ที่มา จาก หนังสือพิมพ์มติชน

โดยการตั้งคำถามให้เด็กตอบโจทย์ ตามความรู้สึกของตนเอง

1.พวกเธอมีความรู้สึกอย่างไรกับข้อมูลนี้

เด็กตอบว่า เห็นตัวเลขของไทยแล้ว เป็นตัวเลขที่น่าตกใจมาก และเด็กวัยรุ่นในประเทศไทย ควรที่จะรับรู้ข้อมูลเหล่านี้ด้วย เพื่อเด็กวัยรุ่นต้องไปแก้ไขปัญหาของตนเอง และโรงเรียนน่าจะนำข้อมูลเหล่านี้พูดคุยหรือตั้งกล่าวเสวนากัน เพื่อหาแนวทางป้องกัน หรือหากิจกรรมในการในเด็กวัยรุ่นได้ทำ

2.กลุ่มเพื่อนของตนเองมีท้องบ้างหรือเปล่า

เด็กเขียนตอบว่า เพื่อนในห้องระดับ ม.2 และ ม.3 ที่รู้จัก อย่างน้อยในโรงเรียน มี 6 คน และบางคนมีการแต่งงาน และบางคนเพิ่งคลอดลุก เพื่อนๆได้ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล ในวันที่ทำกิจกรรมนี้ มีเด็กของเราเพิ่งกลับมาจากการเยี่ยมเพื่อน และพ่อแม่ของเด็กเหล่านี้ ส่วนมากไม่ให้ใส่ชื่อเด็กเป็นพ่อแม่ แต่ให้ใส่ตากับยายเป็นพ่อแม่เด็ก กลัวเด็กจะเสียอนาคตในภายข้างหน้า แต่พ่อแม่เด็กผู้ชายไม่ยอมรับหลานตนเอง

3.แล้วพวกเธอให้คำแนะนำเพื่อนอย่างไร

หลายคนตอยว่า ไม่มีคำแนะนำให้เพื่อนหรอก เพราะถ้าเกิดปัญหากับตนเองยังไม่รู้เลยว่าจะเอาตัวรอดอย่างไร

จึงเป็นประเด็นต่อที่ทำให้ครูจิ๋วต้องคิดหากิจกรรมมาเสริมให้เด็กกลุ่มนี้ทันที เพราะต้องเสริมกระบวนการทางความคิดให้เด็กเพื่อเพิ่มทักษะชีวิต ในการจัดการกับชีวิตตนเอง

กิจกรรมที่ 6 มีความรู้สึกอย่างไรเมื่อไปงานศพครูกระแต

ด้วยคุณครูกระแต ได้เสียชีวิต เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2553 และได้มีการจัดงานศพที่วัดหลักสี่ เด็กกลุ่มโต กลุ่มนี้ได้ไปช่วยงานศพ ทั้งเสริฟอาหาร เสริฟน้ำ และฟังสวดอภิธรรมตลอด และเผาสพเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2553 โดยมูลนิธิสร้างสรรค์เด็กเป็นเจ้าภาพตลอดงาน เจ้าหน้าที่ทุกคนพร้อมเด็กๆๆช่วยงานจนลุล่วงไปด้วยดี

ครูจิ๋วจึงนำเอาเรื่องราวของครูกระแตมาทำกิจกรรมกับเด็กกลุ่มนี้

เด็กทุกคน ที่เขียนบันทึก ได้บอกเล่าว่าภูมิใจกับคุณครูกระแตเป็นอย่างมาก เพราะความดีที่ครูกระแตได้ทำไว้กับเด็กๆๆ จึงมีพี่ๆที่เคยอยูมูลนิธิฯมากันมากมาย พร้อมกับเพื่อนๆของครูกระแต และเด็กยังได้บอกกล่าวมาได้ช่วยงานครูกระแต และได้ตอบแทนบุญคุณที่ครูกระแตได้สอนการรำให้กับเด็กๆๆมาตลอด และทุ่มตัวในการทำงาน

คำถามที่ให้เด็กตอบอีก 1 คำถาม คือ งานศพครูกระแตสอนอะไรกับชีวิตพวกเราบ้าง

ส่วนมาก เด็กเขียนถึงความดี ที่ครูกระแตได้ทำให้กับเด็ก เช่น ดูแลเด็กด้วยความรัก อย่างเต็มใจ จริงใจในการทำงาน สอนเด็กอย่างทุ่มเท พร้อมทั้งหากลยุทธต่างๆมาสอนท่ารำที่อ่อนช้อย

สิ่งที่เด็กเขียน คือจะทำความดีอย่างไม่ต้องหวังผลตอบแทน และขอให้ครูกระแตหลับอย่างมีความสุขตลอดกาล

ผลของกิจกรรมที่จากการดูหนัง The Chorus เด็กได้เขียนบรรยายถึงความรู้สีก ในเรื่องการดูแลเด็กในสถานสงเคราะห์

คำตอบที่เด็กเขียน ส่วนมากอยากให้สถานสงเคราะห์ทำให้เหมือนเป็็นบ้าน เป็ฯความรู้สึกถึงคนดูแลว่า ต้องมีความเมตตา มีความรัก ความอบอุ่น การเสนอแนะสิ่งที่ดีให้กับเด็ก เป็นแบบอย่างที่ดีกับเด็กในเรื่องการปฏบัติตัว สิ่งที่จำเป็นคือคำพูดที่สร้างสรรค์ให้กับเด็ก บางครั้งต้องเสริมกำลังใจให้เด็ก ความยุติธรรม จิตใจที่ไม่มีความลำเอียงกับเด็กเป็นคติธรรมในใจของคนที่ดูแล

คำตอบที่สองเขียนถึงความรู้สึกต่อครูใหญ่ในหนัง The Chorus เด็กทุกคน บอกว่า ครูใหญ่เป็นคนที่เห็นแก่ตัว เอาเปรียบคุณครูท่านอื่น เผด็จการ ไม่เชื่อในศักยภาพของเด็ก ไม่เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความสามารถ เอาหน้ากับผู้ใหญ่ ไม่ให้เกียรติคนทำงานของตนเอง เชื่ิอมั่นในความคิดเห็นของตนเองเกิน เมื่อทำอะไรผิดพลาดมาโยนความผิดเหล่านั้นให้คนอื่น เด็กๆๆบอกว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย

คำตอบที่ สาม ว่าดูหนัง The Chorus แล้วสอนอะไรใรชีวิตเราบ้าง

1. เด็กบอกว่า บ้านอุปถัมภ์เด็กของเราดูแลเด็กดีกว่า สถานสงเคราะห์ จากในหนังดีกว่ามาก แต่เด็กเองจะต้องไม่มีขโมยขนม หรือสิ่งของ

2.จะปรับปรุงตนเองในเรื่องการทำหน้าที่ความรับผิดชอบภายในบ้านของเราให้มากขึ้น โดยเฉพาะการทำความสะอาดห้องนอน ห้องครัว และส่วนร่วมทั้งหมด

3.เด็กสถานสงเคราะห์ หรือที่มาอยู่บ้านต่างๆ เด็กๆๆๆทุกคนก็มีความสามารถพิเศษเหมือนกัน เพียงแต่ขอโอกาสให้เด็กได้แสดง และมีพื้นที่เวทีให้เด็กบ้าง

ครูจิ๋วเองได้กลับมาอ่านบันทึกของเด็กอีกครั้งทำให้เห็นแนวคิด ดีๆๆของเด็กจำนวนมาก นำมาปรับปรุงในการทำงาน สิ่งเหล่านี้แหละคือการเรียนรู้แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน

เป็นภาพยนตร์ที่ดีมากๆๆ ครูทุกคนควรได้ชม และวิเคราะห์ว่าได้อะไรจากการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ และนำลงสู่การปฏิบัติได้อย่างไรเพื่อจะใช้ภายในห้องเรียน หรือปรับใช้ในชีวิตประำจำวัน ตอนนี้ผมดูยังไม่จบพึ่งจบแผ่นแรกสิ่งที่ได้คือ

1.การศึกษาข้อมูลพื้นฐานก่อนจะดำเนินการสอน

2.สร้างความคุ้นเคยกับทุกฝ่ายในองค์กร

3.ก่อนเริ่มเรียนรู้ต้องรู้จักสร้างเงื่อนไข

4.รู้จักการให้อภัย

5.เป็นผู้รอบรู้

6.มองปัญหาว่ามีทางออกเสมอ

7.การลงโทษไม่ใช่ทางออกที่สวยงาม

8.มีความอดทนอดกลั้น

9.มีการจดบันทึกเพื่อปรับปรุงแก้ไขปัญหาติดตามผล

10.มีพรหมวิหาร4 เมตตา 

11.มีสังคหวัตถุธรรม 4 ปิยวาจา

 

หากท่านเป็นครูหรือผู้ทำงานเกี่ยวกับเด็กหรือนักเรียน จงรีบไปดูอย่าได้คิดนาน เพราะนั้นคือการเสริมแรงและสร้างแรงบรรดาลใจให้ทุกท่าน...

สาธุ  ขอความดีที่ได้ทำจากละครเรื่องนี้ในการเติมฝัน เสริมแรง สร้างกำลังใจ ให้ทุกท่านที่ได้ชม จงทำให้ประเทศชาติของเราเจริญ รุ่งเรือง มีความสุขที่ยั่งยืน ตลอดไป

 

วีรยุทธ  หยุดยั้ง  ครูโรงเรียนกู่กาสิงห์ประชาสรรค์

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท