ชีวิตที่ดีที่สุดสงบเย็นและเป็นประโยชน์


“นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ” “สุขอื่นนอกจากความสงบแล้ว เป็นไม่มี”

ชีวิตที่ดีที่สุดสงบเย็นและเป็นประโยชน์

            “นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ”   “สุขอื่นนอกจากความสงบแล้ว เป็นไม่มี” 

สงบเย็น หวานหอมใดฤาจะเท่า หวานหอมดอมเจ้า คละคลุ้งเคล้ากิเลสงาม ทุกข์ร้อนใดฤาไถ่ถาม ร้อนท้นลนลาม กว่าร้อนท่ามกิเลสลน ดับเย็นใดฤาได้ยล ดับเย็นเห็นผล เย็นกว่าพ้นกิเลสกาม โลกหลากล้วนสับสน เวียนวังวนกิเลสหยาม ผู้คนทุกรูปนาม ต่างตามใจกิเลสมิตร ยากยิ่งจะยั้งหยุด สลัดหลุดกิเลสหวิด เป็นทาสทุกชีวิต โลกจึงร้อนหายนะ ถามเย็นที่ได้ยล เย็นกว่าผลดลตรรกะ คือเย็นนิพพาน ใครถึงพร้อมสงบเย็น   นับตั้งแต่ชีวิตของเราอุบัติขึ้นในโลกนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มแรกของการใช้ชีวิต ซึ่งทุกคนมีสิทธิกำหนดชะตาชีวิตของตนเองได้และเมื่อชีวิตของตนเองมีความสุขความสงบแล้วจะทำอย่างไรให้ คนในครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติมีความสุขตามตามไปด้วยอย่าง แต่ความเป็นจริงแล้วความสำเร็จและความล้มเหลวสุขหรือทุกข์ล้วนแต่เป็นองค์ประกอบของชีวิตด้วยกันทั้งสิ้นเพราะคนเราบางคนเกิดมามีชีวิตที่ไม่เท่าเทียมกันไม่ว่าจะฐานะทางบ้าน หรือฐานะทางสังคม   ซึ่งเราต้องรู้จักการใช้ชีวิตรู้จักประมาณตน ก็สามารถดำเนินชีวิตไปได้ด้วยดี   เพราะไม่ว่าจะเป็นยามทุกข์หรือยามสุขไม่มีใครบนโลกใบนี้ที่อยากให้ตนเองมีความทุกข์หลายคนคงพยายามค้นหาหรือตั้งคำถามกับตนเองว่าจะทำอย่างไรให้ชีวิตของตนมีความสุขและสงบ จริงอยู่ว่าวัตถุนิยมหรือชื่อเสียงเงินทองสามารถนำพาความสุขมาให้เราแต่ความสุขที่มีค่าจากการแกร่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันจนเหนื่อยล้าครั้นได้มาก็ต้องเหนื่อยกับการเก็บรักษาไว้ไม่ให้ใครมาช่วงชิงไปนั้นหรือคือความสุขที่แท้จริง หากแต่ความสุขสงบที่แท้จริงนั้นกล่าวอย่างสั้นๆตามคำกล่าวของท่านพุทธทาสภิกขุที่ว่า  “ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่สงบเย็นเป็นประโยชน์”

               นอกจากการหาความสุขและสงบมาใส่ตัวเองแล้วจะดีไหมที่เราจะหันมาทำประโยชน์ให้แก่เพื่อนร่วมโลกนอกจากมีความสุขและเกิดความสงบแล้วยังทำให้ชีวิตของเรามีค่าและเปี่ยมด้วยคุณภาพโดยวิธีการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมไม่สามารถอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้ในสังคมจะต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเมื่อมีหลายๆคนมาอยู่ร่วมกันแล้วความหลากหลายหรือความแตกต่างจึงเป็นหน้าที่ของคนในสังคมนั้นๆที่ต้องศึกษากันและกันในเรื่องของความแตกต่างที่มีอยู่เพื่อที่ให้เราอยู่ร่วมกันได้อย่างเข้าใจกันเมื่อคนเรามีความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเราและคนรอบข้างแล้วจะทำให้เราเป็นคนเท่าทันกับสิ่งต่างๆที่อยู่บนโลกนี้เมื่อมีปัญหาเราก็สามารถแก้ไขปัญหาอย่างคนมีความรู้และยึดหลักถูกต้องเพราะเราจะเห็นว่าชีวิตที่เติมเต็มไปด้วยความรู้นั้นทำให้เราสามารถมีความสุขในการดำรงชีวิตในฐานะที่เราเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องการความสุขความสำเร็จในชีวิตแล้วในที่สุดเราก็จะประสบความสำเร็จและสามารถช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้

                  ชีวิตคือการเรียนรู้อยู่ที่เราจะยอมรับมันตามความคิดสติเราให้ทันอยู่กับความเป็นจริงไม่ใช้สิ่งที่ฝันหรือหวังไว้แต่จงทำความหวังที่เป็นอยู่นั้นให้ดีที่สุดและจงจำไว้ว่าเมื่อเรามีความสุขก็ต้องเตรียมรับกับความทุกข์ที่กำลังมาในไม่ช้าพร้อมทั้งยอมรับความจริงที่เผชิญเพราะความสุขคือสิ่งที่ทุกคนต่างปรารถนาด้วยวิธีการต่างๆตามแต่ระดับของสติปัญญาที่จะอำนวยได้แต่ถ้าในระดับของสติปัญญาอ่อนลงมากเท่าไรการแสวงหาความสุขนั้นๆก็ย่อมจะพาเอาความทุกข์พ่วงเข้ามาด้วยมากเท่านั้น บางคนหลงเสพความทุกข์แต่เข้าใจว่าเป็นความสุขเช่นการดื่มเหล้า สูบบุหรี่ กินหมาก ดมทินเนอร์ ตลอดจนเครื่องดื่มบางชนิดเป็นต้นกว่าจะรู้ตัวก็เกิดผลร้ายตามมาชีวิตทั้งชีวิตก็ดับสลายลงกับสิ่งที่ไร้สาระอย่างน่าเวทนายิ่งนักเมื่อดั่งคำกลอนที่ท่านพุทธทาสได้กล่าวไว้ว่า

 “ ความเอ๋ย ความสุข  ใครใคร ทุกคน ชอบเจ้าเฝ้าวิ่งหา   “แกก็สุข ฉันก็สุข ทุกเวลา” แต่ดูหน้า ตาแห้ง ยังแครงใจ  ถ้าเราเผา ตัวตัณหา ก็น่าสุข  ถ้ามันเผา เราก็สุก หรือเกรียมได้  เขาว่าสุข สุขเน้อ อย่าเห่อไป  มันสุขเย็น สุกไหม้ ให้แน่เอ่ย”  ดังนั้นความสุขสงบโดยพื้นฐานได้แก่ความพอใจขึ้นอยู่กับการได้เรียนรู้ความสุขและการใช้ชีวิตของเราอย่างมีคุณค่ามากเพียงใด  เนื่องจากเราต้องฝันฝ่าอุปสรรคต่างๆที่เราเป็นคนสร้างมันขึ้นมาด้วยตนเองได้  การช่วยตัวเองก็เช่นกันมักจะทำกันได้ง่ายๆแต่การช่วยผู้อื่นอย่างแท้จริง ดังที่ช่วยตัวเองนั้นดูจะไม่ง่าย จึงต้องพยายามและฝึกฝน การช่วยแต่ทางวัตถุอย่างเดียว อย่างมากที่สุดก็ช่วยให้เป็นคนได้สักครึ่งคนเท่านั้น ต่อเมื่อทางจิตใจให้สะอาด สว่างไสวสงบเย็นได้ด้วยเขาจึงจะได้มีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ความเป็นชาวพุทธนั้น ย่อมจะช่วยผู้อื่นพร้อมๆกันไปในตัว เท่ากับที่ช่วยตัวเอง

               จิตสงบเย็น ไม่เป็นทุกข์ถ้าไม่มองหาความสงบไม่ทำจิตให้ปล่อยวางแต่หันไปอยากได้อยากดีกับสิ่งภายนอกเห็นสิ่งนั้นก็อยากได้อย่างนั้นเห็นสิ่งโน้นก็อยากได้สิ่งโน้นจิตก็จะสับสนวุ่นวาย และเป็นทุกข์แต่ถ้ามองเห็นความสงบของจิตและควบคุมจิตไม่ให้เกิดความอยากความทะเยอทะยานที่ไม่รู้จักพอขึ้นมาแล้วจิตของก็จะสงบเย็นอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าราจะยืน-เดิน-นั่ง หรือนอนที่ใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นคนร่ำรวยหรือยากจนสักเพียงใดก็ตามก็จะไม่เป็นทุกข์

                หากเราต้องการชีวิตที่ดีที่สุดสงบเย็นและเป็นประโยชน์นั้นเราก็ต้องยึดหลักแนวพรหมวิหาร4หากผู้ใดมีพรหมวิหาร4 ผู้นั้นย่อมมีเสน่ห์ และมีใจสงบเย็นเพราะพรหมวิหาร4ประกอบไปด้วย   1.เมตตา รู้สึกสงสารผู้อื่น เอ็นดูผู้อื่นอยู่เสมอ แม้ใครจะด่าจะว่า หรือใครจะมาทำร้าย ก็ยังนึกเอ็นดูสงสารในคนเหล่านั้น หากมีศัตรู ก็คิดกับศัตรูดั่งมนุษย์ที่น่าสงสารคนหนึ่งที่ยังเวียนว่ายตายเกิดหาที่สุดไม่ได้ มองศัตรูด้วยสายตาที่เอ็นดูดั่งสายตาของมารดาแลดูบุตร สิ่งนี้จะทำให้คนที่คิดร้ายหรือศัตรูต่างๆเปลี่ยนใจมาคิดดีต่อเรา ไปที่ไหนคนก็รักใคร่ อยากใกล้ชิด แม้ว่าจะเพิ่งรู้จักกันก็ตาม เพราะกระแสพลังของความเมตตา มีพลังมากที่สุดในโลกใบนี้ เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก
2.กรุณา ยื่นมือช่วยเหลือผู้ประสบทุกข์ ช่วยเหลือแม้กระทั่งศัตรู ช่วยแม้กระทั่งไม่ทำให้ศัตรูโกรธเรา ช่วยไม่ให้เค้าเผลอก่อกรรมกับเรา เค้าด่ามาก็ไม่ด่าตอบ เพื่อช่วยให้เค้าไม่มีเวรกับเรา เห็นขอทาน หรือคนที่เดือดร้อนก็ช่วยเหลือแบบไม่ต้องตระหนี่ พระพุทธองค์สอนให้ทำทาน เพื่อลดความตระหนี่ในตัว และเผื่อแผ่ช่วยเหลือกันและกัน

3.มุทิตา ยินดีในสิ่งที่ผู้อื่นมี ยินดีในสิ่งที่ผู้อื่นเป็นใครจะได้ดีกว่าเราก็ยินดีกับเค้า เค้าทำความดีเราก็ ไม่อิจฉาริษยา ไม่ไปนินทาให้ร้ายเค้า ไม่หมันไส้หรือน้อยเนื้อต่ำใจใดๆ ส่วนใครด่าว่าเราก็ยินดีในเสียงที่ด่าเข้ามา เสียงนินทาเราก็ยินดีที่เค้าได้นินทาเราไป เพราะแสดงว่าเราได้เคยทำกรรมกับเขามาก่อน เราจึงต้องมาโดนด่าในวันนี้ ส่วนที่เราต้องยินดี นั่นก็เพราะว่าเราได้มีโอกาสได้ชดใช้กรรมแล้ว เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสชดใช้กรรมให้หมดไปโดยไม่เกิดการจองเวรกันและได้
4.อุเบกขา ระลึกเสมอว่า ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนอย่างแท้จริง เขาก็มีสิทธิ์ที่จะเลวหรือดี เขาก็ยังเวียนว่ายตายเกิดเหมือนเรา เขาทำอะไรมา ท่านก็วางเฉย อย่าไปเอามาเก็บจนปั่นป่วนใจ มีใจเป็นกลาง ใครมาพูดอะไรกระทบใจ ก็ทำใจเฉยๆไว้ เหมือนสายลมโชยที่พัดคลอใบหู ไม่มีแก่นสารใดๆให้มาทำร้ายใจเราได้   นั้นคือความหมายของพรหมวิหาร4เพราะเป็นหลักธรรมที่เกื้อกูลกระจายออกทั่วไปหมดเพื่อประโยชน์และความสุขต่อผู้อื่น โดยที่เราก็จะได้บุญกุศลและสติปัญญาเป็นการตอบแทนถึงเราไม่อยากได้ มันก็ต้องได้ เพราะเราได้สร้างเหตุเอาไว้แล้ว มันก็ต้องได้ ไม่มีทางเลี่ยงยิ่งถ้าเราบำเพ็ญพรหมวิหาร4กับตัวเราเอง กล่าวคือละชั่ว ทำดี ทำใจให้ถูกต้องสอดคล้องกับความเป็นจริงของเหตุและผลใจก็จะเบาสบายผ่องใส ก็ยิ่งได้อานิสงค์มากขึ้นคือทำให้เรานอนหลับเป็นสุข เหมือนนอนหลับในสมาบัติตื่นขึ้นมีความสุข ไม่มีความขุ่นมัวในใจนอนฝัน ก็ฝันเป็นมงคลเป็นที่รักของมนุษย์ เทวดา พรหม และภูตผีทั้งหลายเทวดา พรหม จะรักษาให้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง จะไม่มีอันตรายจากเพลิง สรรพาวุธ และยาพิษ จิตจะตั้งมั่นในอารมณ์สมาธิเป็นปกติ สมาธิที่ได้ไว้แล้วจะไม่เสื่อม มีแต่จะเจริญยิ่งขึ้นมีดวงหน้าผุดผ่องเป็นปกติเมื่อจะตาย จะมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ถ้ามิได้บรรลุมรรคผลในชาตินี้ ผลแห่งการเจริญพรหมวิหาร 4 นี้ จะส่งผลให้ไปเกิดในพรหมโลก มีอารมณ์แจ่มใส จิตใจปลอดโปร่ง ทรงสมาบัติ วิปัสสนา และทรงศีลบริสุทธิ์

                กล่าวโดยสรุปว่าชีวิตที่ดีที่สุดสงบเย็นและเป็นประโยชน์ไม่ใช่การที่ทำให้ตนเองเกิดความสุขเพียงอย่างเดียวแต่ยังทำให้คนรอบข้างและผู้อื่นที่เกี่ยวข้องกับเราหรือไม่เกี่ยวข้องก็ตามมีความสุขและสงบด้วยเพราะความสุขสงบที่แท้จริงคือการให้ การช่วยเหลือผู้อื่นและการอภัยเมื่อเราทำแต่สิ่งดีๆไม่คิดอยากได้อยากมีจนเกินกำลังทำเพียงแต่พอมีพอใช้ไม่ให้ตนเองรวมถึงผู้อื่นต่อเดือดร้อนแล้วความสุขสงบเย็นที่จะเกิดกับชีวิตของเราจะไปไหนเสีย  การนำธรรมะเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวันนั้นก็เป็นวีธีนึงเป็นการมองหนทางแห่งชีวิตที่สงบเย็นและเป็นประโยชน์ให้แก่ตัวเราและเพื่อนมนุษย์ที่อยู่ร่วมโลกได้ 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 368512เขียนเมื่อ 22 มิถุนายน 2010 19:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 พฤษภาคม 2012 11:08 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท