วันนี้ (22 มิถุนายน 2549) สคส. นำโดย ดร.ประพนธ์ ผาสุขยืด และ ผู้เขียน ได้เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการ “ทีมแกนนำนักจัดการความรู้ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มเป้าหมายโครงการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรทางการศึกษาด้วยการจัดการความรู้” ณ โรงแรมท็อปแลนด์ จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งรุ่นนี้เป็นรุ่นที่ 3 แล้ว (มีทั้งหมด 6 ครั้ง) โดยในสองครั้งแรก สคส. รับผิดชอบในการเป็นวิทยากรกระบวนการให้ แต่ในครั้งที่ 3 – 6 ทีมนักวิจัยของโครงการฯ จะต้องเป็นวิทยากรกระบวนการเอง โดย สคส. ถอยหลังมาเป็นพี่เลี้ยงให้กับทีมนักวิจัยแทน
เวทีครั้งที่ 3 นี้ มีความน่าสนใจและน่าติดตามมากมาย ไม่ใช่เฉพาะทีมวิทยากรกระบวนการจัดการความรู้มือใหม่เท่านั้น แต่ผู้เขียนยังได้ฟังการบรรยายของ อ.ประพนธ์ ซึ่งจริงๆ แล้วผู้เขียนก็ฟังมาหลายรอบแล้ว แต่ทุกครั้งที่ฟัง อ.ประพนธ์ บรรยายจะรู้สึกประทับใจและได้ความรู้เพิ่มเติมตลอด โดยในครั้งนี้ อ.ประพนธ์ ได้เพิ่มเนื้อหาการบรรยายใหม่ๆ ขึ้นมา เน้นความกระจ่างระหว่างความรู้ 2 ประเภท คือ Explicit Knowledge และ Tacit Knowledge ให้เห็นได้ชัดเจนมากขึ้น
อ.ประพนธ์ ได้อธิบายให้ฟังว่า ความรู้ 2 ประเภทแตกต่างกัน โดย Explicit Knowledge คือ ความรู้ที่เป็นวิชาการ หลักวิชา ทฤษฎี ปริยัติ การวิเคราะห์ วิจัย เป็นต้น แต่ Tacit Knowledge คือ เคล็ดวิชา ภูมิปัญญา ปฏิบัติ ประสบการณ์ วิจารณญาณ ปฏิภาณ เป็นต้น แต่ทั้ง Explicit Knowledge และ Tacit Knowledge อยู่ได้ทั้งในรูปของคำพูดและข้อเขียน
โดยความรู้ทั้ง 2 ประเภท ต้องมีการจัดการด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน และ สคส. เน้นการจัดการความรู้ประเภทที่ 2 คือ Tacit Knowledge ที่นำวิธีการเล่าเรื่อง (Storytelling) มาใช้ในการดึง Tacit Knowledge ของคนออกมา แต่ถึงแม้การเล่าเรื่องจะเป็นวิธีการดึง Tacit Knowledge ของคนออกมาก็จริง แต่หากคนเล่าเรื่อง เล่าถึงทฤษฎี เล่าแบบหลักวิชา สิ่งที่ผู้เล่าเล่าออกมานั้น ก็จะเป็น Explicit Knowledge ในขณะเดียวกัน หากมีการเขียนหรือบันทึกเรื่องเล่า โดยเนื้อหาในข้อเขียนนั้น เป็นการเขียนหรือบันทึกเรื่องเล่าที่มีสาระเกี่ยวกับเคล็ดลับ เคล็ดวิชา ประสบการณ์ สิ่งที่อยู่ในข้อเขียนนั้นก็จะเป็น Tacit Knowledge
นอกจากนั้น มีผู้เข้าร่วมประชุม เสนอความคิดเห็นว่า Explicit Knowledge + ประสบการณ์ + การนำไปใช้ จะได้ออกมาเป็น Tacit Knowledge ของคนๆ นั้น ส่วน Tacit Knowledge ที่มาจากประสบการณ์และการปฏิบัติของหลายๆ คน อาจจะพัฒนาเป็น Explicit Knowledge ก็ได้ นั่นแสดงว่า Explicit Knowledge และ Tacit Knowledge จะผสมปนเปกันไป ซึ่ง อ.ประพนธ์ ก็ได้เน้นย้ำว่า สำหรับการเริ่มต้นการจัดการความรู้ จะต้องแยกให้ออกระหว่าง Explicit Knowledge และ Tacit Knowledge เพื่อจะได้นำวิธีการหรือเครื่องมือมาจัดการความรู้ทั้ง 2 ประเภทได้อย่างเหมาะสม
ผู้เขียนขอสรุป (ตามความเข้าใจของตัวเอง ซึ่งอาจจะถูกหรือผิดก็ได้) จากสิ่งที่ได้ฟัง อ.ประพนธ์ บรรยาย คือ เราจะแยกแยะว่า อะไรคือ Explicit Knowledge และ อะไรคือ Tacit Knowledge นั้น จะต้องดูหรือพิจารณาที่เนื้อหาสาระ ถ้อยคำ เนื้อเรื่อง วิธีการปฏิบัติ ที่สื่อสารถ่ายทอดออกมา ทั้งในรูปของคำพูดและการเขียนว่า ความรู้นั้น เป็นหลักวิชาหรือเคล็ดวิชา ความรู้นั้นเป็นทฤษฎีหรือภูมิปัญญา ความรู้นั้นเป็นปริยัติหรือปฏิบัติ ความรู้นั้นเป็นการวิเคราะห์วิจัย หรือความรู้นั้นเป็นประสบการณ์ วิจารญาณ หรือปฏิภาณ ไม่ใช่อยู่ที่วิธีการสื่อสารถ่ายทอด ว่าความรู้นั้นอยู่ในรูปของคำพูดหรือการเขียน
การพูด หรือการเล่าเรื่องไม่ได้เป็น Tacit อย่างเดียวเท่านั้น ส่วนการเขียนก็ไม่ได้เป็น Explicit อย่างเดียวเท่านั้น เช่นกัน แต่ทั้งการพูดและการเขียนต่างเป็นได้ทั้ง Explicit และ Tacit การจะแยกแยะ Explicit และ Tacit นั่นจะพิจารณาที่รูปแบบหรือสิ่งห่อหุ้ม (คำพูดหรือข้อเขียน) ความรู้นั้นไม่ได้ แต่จะต้องพิจารณาที่เนื้อหาสาระหรือประเภทของความรู้ที่ถ่ายทอดออกมา
ความแตกต่างของความรู้ 2 ประเภท จึงอยู่ตรงที่นั่นเอง
อ.ประพนธ์ บอกว่า หากเราเข้าใจความแตกต่างของความรู้ 2 ประเภท นี้อย่างชัดเจน แล้วจะรู้ว่า การจัดการความรู้ให้ถูกประเภทถูกเครื่องมือไม่ใช่เรื่องยากเลย ซึ่งผู้เขียนเห็นด้วยอย่างยิ่ง
ไม่มีความเห็น