การประชุมเชิงปฏิบัติการ "ระบบจัดการความรู้ชุมชนท้องถิ่น เพื่อการขับเคลื่อนสู่นโยบายสาธารณะ" วันที่ 7 - 8 พ.ค. 53 ที่เชียงใหม่ หลังอาหารเย็นมีการเสวนากันต่อครับ วงประชุมให้ความสำคัญต่อสถานการณ์ บ้านเมือง กับ “โรดแม็ป” “แผนการปรองดอง 5 ข้อ ของนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อแก้วิกฤติประเทศเฉพาะหน้า” โดยเวทีให้ความสำคัญกับข้อ 2 หัวข้อ “การปฏิรูปประเทศไทยครั้งใหญ่” เพื่อสร้างความเป็นธรรม ความเสมอภาคในสังคม สวัสดิการสังคม การศึกษา สาธารณสุข อาชีพ การมีรายได้ ที่ทำกิน หนี้สินอย่างเป็นรูปธรรม
ข้อเสนอจากเวทีชี้ให้เห็นว่าหาก“การปฏิรูปประเทศไทยครั้งใหญ่”ให้ประสบความสำเร็จ แนวคิดการกระจายอำนาจ บนฐานการจัดการตัวเองได้ของชุมชนท้องถิ่น จะต้องเป็นแนวทางที่สำคัญของ“การปฏิรูปประเทศไทยครั้งใหญ่”ในครั้งนี้
การเสวนากันต่อในช่วงเย็น คุณหมออำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติได้เสนอว่า แนวคิด“การปฏิรูปประเทศไทยครั้งใหญ่”จะต้องให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจ ทั้งนี้เนื่องจากปรากฎการณ์วิกฤติความแตกแยกของสังคมไทยที่เกิดขึ้นได้ทำให้ผู้คนให้ความสนใจกับเรื่องนี้ จากบทเรียนของต่างประเทศ เช่นประเทศจีนพบว่าทุกวันนี้ประเทศจีนมีการกระจายอำนาจในหลายเรื่องมากทั้งเรื่องการจัดเก็บภาษี ท้องถิ่นมีอำนาจในการใช้ภาษีก่อนถึงจะส่งส่วนกลาง
“..แม้กระทั่งในประเทศจีนที่เราเรียกว่าเป็นเผด็จการจากที่ได้ไปศึกษาดูงานพบว่าภาษีทั้งหมดท้องถิ่นจะเป็นคนจัดเก็บ โดยจะเก็บให้รัฐบาลกลางเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ เก็บเข้าท้องถิ่นถึง 80 เปอร์เซ็นต์...”(คุณทิพย์รัตน์ นพลดารมย์ ผู้อำนวยการ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.))
“ เงื่อนไขความเจริญของอเมริกาคือการกระจายอำนาจ มีการกระจายเป็นมลรัฐจัดการตัวเอง ที่ประเทศบราซิล ตอนนี้กำลังมุ่งเรื่องการกระจายอำนาจเป็นอย่างมากและก้าวหน้ามาก...” (คุณหมออำพล จินดาวัฒนะ)
“ การปฏิรูปประเทศไทยหากจะให้ความสำเร็จที่สำคัญอยู่ที่การปฏิรูปการเมือง การปฏิรูประบบราชการ และการปฏิรูประบบคุณธรรม จริยธรรม.. ”(พลเอกสุรินทร์ พิกุลทอง ประธานกรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน)
“เงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้การปฏิรูปประเทศไทย โดยจังหวัดจัดการตัวเองเป็นจริงได้ จะต้องให้ความสำคัญกับตำบลจัดการตัวเองพร้อมๆกันไปด้วย....”(คุณสมัย รัตนจันทร์อดีตนายก อบต.ท่าสาย อ.เมือง จ.เชียงราย)
“แผน ฯ11 จะให้ความสำคัญเรื่องการกระจายอำนาจและความเป็นธรรมในสังคม หากจะให้เกิดผล ต้องให้แต่ละท้องถิ่นมีสภาพัฒน์ฯของตัวเอง” (อ.มุกดา อินต๊ะสาร ผู้นำชุมชนจาก อ.ดอกคำใต้ จ.พะเยา)
คุณสวิง ตันอุด ได้ชวนเสวนากับประเด็น“จังหวัดจัดการตัวเอง” ต่อด้วยการมีเอกสารปรกอบการนำเสนอครับ.....ผมจึงขอสรุปข้อคิดการนำเสนอของคุณสวิง ตันอุด มานำเสนอเผยแพร่ในพื้นที่สาธารณะที่G2K แห่งนี้ต่อดังนี้ครับ
คุณสวิง ตันอุด บอกว่า เหตุที่คนเชียงใหม่สนใจเรื่อง “จังหวัดจัดการตัวเอง” ด้วยเหตุจากการที่เราได้มีการศึกษาปัญหาการเรียกร้องการมีการประท้วงต่างๆที่เกิดขึ้นในเชียงใหม่ พบว่าในรอบปีที่ผ่านมาเฉพาะใน จ.เชียงใหม่มีการชุมนุมประท้วงในทั้งหมด 66 ครั้งทั้งที่เป็นปัญหาภายในและปัญหาที่ส่วนกลางมาสร้างผลกระทบและยังไม่มีปัญหาใดที่จังหวัดสามารถแก้ได้เลย การเป็นผู้ถูกกระทำของคนในท้องถิ่นนำมาซึ่งความรู้สึกอึดอัดขัดข้องเป็นอย่างยิ่งจนเป็นกระแสที่ว่าอย่างนี้ต้องได้รับการแก้ไข
เราพบว่าปัญหาใหญ่ของบ้านเมืองเราเกิดจากการรวมศูนย์อำนาจไปไว้ที่ส่วนกลางและการเหลื่อมล้ำในการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรม ดังนี้
๑. รวมศูนย์อำนาจ ; เหตุแห่งปัญหาเหลือง - แดง
“..คนที่สนับสนุนทั้งสีเหลือง และสีแดง ต่างก็เป็นคนในท้องถิ่นด้วยกันทั้งสิ้น ต่างก็มีความหวังดีต่อชาติบ้านเมืองด้วยกันทั้งหมด ภาษาการเมืองที่พูดก็ภาษาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นคำว่าประชาธิปไตย เผด็จการ ปากท้องประชาชน...แต่เมื่อถือความจริงกันคนละชุด ก็จะประหัสประหารกันซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง..”
วิกฤติความแตกแยกของสังคมไทยที่ปรากฏออกมาในรูปแบบการต่อสู้ทางการเมืองที่มีสัญลักษณ์เป็นสีเหลือง สีแดง ภาพของความขัดแย้ง และการต่อสู้ที่ใช้ความรุนแรงมากยิ่งขึ้น จนสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศจนไม่อาจประเมินค่าได้
“...ความแตกแยกของสังคมไทยในครั้งนี้รุนแรงจนนำไปสู่การแบ่งขั้วความคิดในทุกองคาพยพของสังคมไทยตั้งแต่โครงสร้างบนสุดลงมาถึงโครงสร้างล่างสุดคือสถาบันครอบครัว..”
ปรากฏการณ์การเมืองที่แบ่งเป็นเป็นเหลือง เป็นแดง เป็นขาว เป็นน้ำเงิน ก็เป็นเพียงผลหรือผลิตผล ทั้งหมดย่อมมีเหตุ จะเห็นได้ว่า
“....การต่อสู้ในครั้งนี้เป็นปะทะกันทางโครงสร้างทางเมืองต่อโครงสร้างทางการเมือง บางคนเรียกว่าเป็นปะทะกัน ระหว่างมหาโครงสร้าง (super structure) กับมหาโครงสร้าง การต่อสู้ครั้งนี้จะหวั่นไหวไปทั้งแผ่นดินอย่างแน่นอน ที่สุดทั้งหมดก็ต้องการยึดกุมศูนย์กลางอำนาจทางการเมือง เพราะอำนาจศูนย์กลางทางการเมือง หมายถึงการยึดกุมทุกอย่าง ทั้งงบประมาณแผ่นดิน อำนาจการตัดสินใจ ดังนั้นถ้าจะวิเคราะห์และฟันธงลงไป เหตุของเรื่องนี้ทั้งหมดคือการรวมศูนย์อำนาจ อย่างล้นเหลือนั่นเอง…”
และที่สำคัญ “........การเมืองแบบรวมศูนย์กลาง เป็นที่หาผลประโยชน์นานัปการ ทั้งเงินทอง ตำแหน่งหน้าที่การงาน นักการเมืองพรรคการเมืองก็รู้ด้วยว่าจะลงทุนเท่าไรถึงจะยึดกุมตำแหน่งรัฐมนตรีได้ ลงทุนเท่าไรจะได้กุมอำนาจทั้งระบบ และที่สุดกลายเป็นการลงทุนทางการเมือง ที่เรียกว่าธุรกิจการเมือง อย่างที่เราเห็น ๆ...”
๒ . จังหวัดจัดการตนเอง ทางออกของปัญหาความขัดแย้ง
“..ธงที่แย่งชิงกันอยู่ขณะนี้คือ ธงทำเนียบ ซึ่งเป็นธงแห่งศูนย์กลางอำนาจของรัฐ หากเราทำให้ธงนี้เล็กลง หรือมีความหมายน้อยลง กระจายธงไปสู่จังหวัด จากธงเดียวจะกลายเป็น 76 ธง ทำให้พื้นที่จังหวัดมีความหมายมากขึ้น อำนาจจึงอยู่ที่การจัดการชุมชนท้องถิ่น ให้ชุมชนท้องถิ่น เป็นผู้กำหนด เราจึงจะก้าวพ้น เกมส์แห่งอำนาจนี้ได้..”
สังคมไทยเรามีการบริหาร 3 ระบบ คือ ระบบส่วนกลาง ระบบภูมิภาค และระบบท้องถิ่น ระบบส่วนกลาง และระบบภูมิภาค มีอำนาจสูงกว่าระบบท้องถิ่น(แม้จะป็นระบบท้องถิ่นภาคประชาชน ชุมชน ภาคประชาสังคมก็ยังมีส่วนร่วมน้อย) งบประมาณกองรวมอยู่ที่ส่วนกลาง อำนาจการตัดสินใจทั้งหลายอยู่ที่ส่วนกลาง เวลาจะดำเนินการโครงการใดๆ ก็ตาม ท้องถิ่นจะเข้าไปมีบทบาทในนั้นได้น้อย นั้นหมายถึง ประชาชนเข้าไปมีส่วนในการตัดสินตรงกลางได้น้อย แทบจะเรียกว่า การเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นเพียงพิธีกรรมเท่านั้น เมื่อท้องถิ่นตัดสินใจเลือกโครงการของตนเองไม่ได้ ส่งผลให้โครงการที่ถูกกำหนดมาจากศูนย์กลางอำนาจไม่สอดคล้องกับความต้องการของคนในพื้นที่ ดังนั้นผลกระทบที่เกิดขึ้นหลายอย่างจะไปขัดแย้งกับ วิถีชีวิต วัฒนธรรม สังคม ของชุมชนนั้นๆ
“...ท้าทายเลยว่า ถ้าสังคมไม่หนีออกจากกรอบคิดนี้ กรอบโครงสร้างอำนาจที่มีอยู่ทุกวันนี้สังคมมันแตกแยกปะทุไปสู่ความรุนแรง แล้วจะนำไปสู่สงครามการเมืองได้ในอนาคต ดังนั้นต้องกล้าที่จะคิดนอกกรอบ ทำอย่างไรถึงจะทำให้ศูนย์กลางอำนาจมันเล็กลง แล้วไปสร้างอำนาจให้ประชาชนในท้องถิ่น ก่อนที่สถานการณ์จะจัดการปัญหาของตัวมันเอง ความรุนแรงจะน้อยจะมากก็ขึ้นอยู่กับการจัดการนี่เอง แต่ถ้าไม่จัดการถึงที่สุดความขัดแย้งบานปลาย สังคมเราลำบากแน่ นี่คือความจำเป็นที่จะมาคิดนอกกรอบ นอกกรอบจากที่เราเคยคิด...”
ถ้าจังหวัดสามารถจัดการตนเองได้ ปัญหาในทางการเมืองที่เกิดขึ้นมันจะย่อส่วนลงมาจากเวทีระดับชาติ จะกลับมาสู้ในเวทีระดับจังหวัด คำว่า เหลือง-แดง เป็นแนวความคิดระดับชาติ ที่พูดเมื่อวาน เพราะว่าทุกแบ่งจากศูนย์กลางลงไปถึงตัวท้องถิ่น ซึ่งรวมถึงประชาชนทั้งหลาย อันนี้จึงแบ่งขั้ว ปัญหาตอนนี้คือว่า ถ้าเราเสนอแนวความคิดแบบแนวตัดขวาง ไม่ใช่แนวความคิดแบบแนวตั้งแนวนอน แนวตัดขวางก็คือตรงนี้จะกลายเป็นเรื่องของท้องถิ่น ตรงนี้ก็เป็นเรื่องของศูนย์กลาง ดังนั้นวิธีคิดความเป็นเหลือง-แดงจะลดตัวเองลงมาในระดับของท้องถิ่น ดังนั้นที่จริงแล้วเป้าไม่ได้เป็นการยึดอำนาจศูนย์กลางเหมือนกับเหลือง-แดง แต่ว่าเป้ามันจะดูว่าสู้กันในระดับท้องถิ่นอย่างไร
๓ .ท้องถิ่นจัดการตนเอง ; เปลี่ยนศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่จังหวัด
“..ศูนย์กลางอำนาจ หรือโครงสร้างอำนาจที่ไม่เป็นธรรมก่อให้เกิดปัญหามากมายเกิดการแบ่งแยกทางความคิด แบ่งแยกทางสังคม เราต้องทบทวน “การจัดการทางอำนาจใหม่” เท่านั้นจึงจะเป็นทางออกของปัญหานี้ได้..”
การจัดการทางอำนาจใหม่ มีความหมายว่า ภาคประชาชนที่อยู่ในแต่ละท้องถิ่นจะเข้าไปมีบทบาทในท้องถิ่นนั้นๆ ได้อย่างไร ดังนั้นคนจะหันความสนใจมาต่อสู้กันในระดับท้องถิ่น ซึ่งถ้ากระจายอำนาจออกไป 76 ธง เมื่อมีปัญหาก็กับไปต่อสู้กันในท้องถิ่น ดังนั้นจะทำให้ทุกคนหันมาดูเรื่องท้องถิ่นของตนเองมากขึ้น
ถ้ามองหารู้แบบท้องถิ่นจัดการตนเองในเมืองไทยตอนนี้มี 2 แห่ง คือ กรุงเทพมหานคร และพัทยา แต่ก็ยังไม่ใช้ต้นแบบของการจัดการตนเองที่สมบูรณ์ ถึงแม้ว่าผู้ว่ามาจากการเลือกตั้ง แต่ผู้ว่ายังอยู่ในกำกับของส่วนกลาง มันไม่มีความหมายเลย
ท้องถิ่นจะจัดการตนเอง ต้องจัดการตนเองได้แทบทุกด้าน ยกเว้น 2 เรื่อง คือ การรักษาความมั่นคง และการต่างประเทศ หมายถึง นโยบายต่างประเทศ หรือความสัมพันธ์ต่างประเทศ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่อง ความสัมพันธ์ทางการค้ากับต่างประเทศ
ตอนนี้ประเทศทั่วโลกมีแนวโน้มแบบนี้ทั้งสิ้น อาจจะยกเว้นประเทศเผด็จการบางประเทศ นอกนั้นเมืองมันจัดการตัวเองได้ทั้งสิ้นแล้ว ไม่ว่าจะญี่ปุ่น อังกฤษ ประเทศอังกฤษไม่มีภูมิภาคมีแต่ส่วนกลาง กับท้องถิ่นแม้กระทั่งประเทศฟิลิปปินส์ ถูกจัดการโดยเมืองทั้งหมด เหลือประเทศไทยที่ยังจัดการโดยศูนย์กลางอำนาจ เพราะเราดำรงว่าต้องเป็นรัฐเดียวที่แบ่งแยกไม่ได้
นี้ไม่ใช่การแบ่งแยก
มันเป็นการบริหารราชการแผ่นดินแบบกระจายอำนาจอย่างแท้จริง
แต่ถ้าคุณไม่จัดการ มันจะถูกแบ่งแยกในที่สุด
๔. ขับเคลื่อน สู่ จังหวัดจัดการตนเอง ; “..ช่องทางการเคลื่อนงานจังหวัดจัดการตนเอง
ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา78(3) กระจายอำนาจให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นพึ่งตนเองและตัดสินใจในกิจการของท้องถิ่นได้เอง...รวมทั้งพัฒนาจังหวัดที่มีความพร้อมให้เป็นองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่โดยคำนึง ถึงเจตนารมณ์ของประชาชนในจังหวัดนั้นและมาตรา163 ประชาชน 10000 รายชื่อเพื่อเสนอกฎหมาย...”
ตอนนี้ถ้าจะเคลื่อนงานจังหวัดจัดการตัวเอง มี 3-4 ยุทธศาสตร์ คือ
“..การออกแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองไม่เพียงแต่แค่การไปหย่อนบัตรเลือกตั้ง ที่เรียกว่า ประชาธิปไตยสี่วินาทีเท่านั้น แต่หมายถึงการมีส่วนในการตรวจสอบ การมีส่วนร่วมในการบริหารการเมือง เช่นการเป็นกรรมาธิการจังหวัด การเป็นคณะทำงานด้านต่างๆ หรือการจัดกลไกการบริหารจัดการร่วมกันในรูปแบบต่างๆที่มีกฏหมายรองรับเป็นต้น ทั้งหมดขึ้นอยู่กับออกแบบการเมืองใหม่ การจัดการอำนาจใหม่ที่จะทำให้จังหวัดมีจัดการตนเองแบบมีส่วนร่วมนั่นเอง...”
ในเรื่องจังหวัดจัดการตัวเองที่คุณสวิง ตันอุดนำเสนอนี้ ทางสถาบันการจัดการความรู้ทางสังคมจะได้จัดพิมพ์เอกสารเป็นรูปเล่มเผยแพร่ในโอกาสต่อไป
อยู่โพธาราม ทำไม คนเมืองราด จึงมี ส.ส. อย่างนายอริสมันต์และนายเชาวรินทร์
ภาคพลเมืองเป็นเช่นไร ทำไมจึงได้ ส.ส. เป็นเช่นนี้ครับ
ในการชุมนุมคร้งนี้ได้ข่าวว่า ส.ส. เชาวรินทร์ เกณฑ์ วินมอเตอร์ไซต์รับจ้างจากราชบุรีไปป่วนที่ กทม.ครับ
สวัสดีครับท่านอทจารย์ สุเทพ "การจัดการทางอำนาจใหม่” ให้เป็นการปฏิรูปประเทศไทยจากฐานราก "
เห็นด้วยครับ การเมืองภาคพลเมืองที่พัทลุงก็นัดคุยกันหลายครั้ง
แต่จากการร่วมเวทีตัวแทนจากสภาองค์กรชุมชน ยังติดอยู่กับการเมืองแบบตัวแทน การเมืองภาคพลเมือง จังหวัดจัดการตัวเองต้องจัดการเรียนรู้
เราให้ความสำคัญกับคนที่เราเลือกไปมากเกินความจำเป็น (เชิญสส.มาเปิดงาน เชิญข้าราชการมาเปิดงาน ชาวบ้านมารอรวมเวลารอของคนทั้งหมด เพื่อรอคนๆเดียว)ประชาชนต้องมาก่อนทุกสมัยครับ
จัดหวัดจัดการตนเอง คล้ายๆ กับระบบ สหรัฐ ของ อเมริกา รึป่าวครับ
เห็นด้วยกับการปฏิรูปโฉมใหม่แบบกระจายอำนาจ หากแผนที่ว่าจะเดินหน้าไปได้ด้วยดี อย่างรัดกุมรอบด้าน
เนื้อหาก็ขึ้นอยู่กับประชาชนในจังหวัดจะเสนออย่างไร เช่นการศึกษา การสาธารณสุข การท่องเที่ยวการจัดการสิ่งแวดล้อม การค้าการขายการพาณิชย์รวมทั้งการจัดเก็บภาษี
อ่านแล้วรู้สึกตื่นเต้นมากๆ เลยค่ะ ... ขอไปคิดและมองภาพนะคะว่าจะออกมาเช่นไร แบบยัง มีบางจุดที่สงสัย (จะมาใหม่อีกรอบ ขอบพระคุณค่ะ )
การประชุมเชิงปฏิบัติการ "ระบบจัดการความรู้ชุมชนท้องถิ่น เพื่อการขับเคลื่อนสู่นโยบายสาธารณะ" วันที่ 7 - 8 พ.ค. 53 ที่เชียงใหม่ จากการพูดคุยถึงโรดแม็ป” แผนการปรองดอง 5 ข้อนั้น ดูเวทีจะให้ความสำคัญกับกระบวนการการปรองดองข้อที่ 2 เป็นพิเศาครับ คือหัวข้อ “การปฏิรูปประเทศไทยครั้งใหญ่” เพื่อสร้างความเป็นธรรม ความเสมอภาคในสังคม สวัสดิการสังคม การศึกษา สาธารณสุข อาชีพ การมีรายได้ ที่ทำกิน หนี้สินอย่างเป็นรูปธรรม ตามคำแถลงของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ถึงการแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นปัญหาอยู่กับบ้านเมืองของเราในปัจจุบัน เมื่อวันที่3 พ.ค. เวลา 21.15 น. ณ ศาลากิตติสุข กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ดังความละเอียดของเรื่องนี้ว่า
องค์ประกอบที่ 2 ของกระบวนการของการปรองดอง คือ การปฏิรูปประเทศ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองนั้น อาจจะถูกมองว่าเป็นเรื่องการเมือง แต่ข้อเท็จจริงมีรากฐานมาจากความไม่เป็นธรรมที่มีอยู่ในสังคม ที่มีอยู่ในระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายคนที่มาร่วมชุมนุมมีความรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม มีความรู้สึกถูกทอดทิ้ง ไม่ได้รับโอกาส ถูกรังแกจากผู้ที่มีอำนาจ ตรงนี้เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าเราปล่อยให้เกิดความรู้สึกอย่างนี้ เงื่อนไขเหล่านี้จะถูกดึงเข้ามา และสามารถสร้างความขัดแย้ง ไม่ใช่เฉพาะในทางการเมือง ถึงเวลาแล้วที่พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนจะได้รับการดูแลด้วยระบบสวัสดิการที่ดี และมีโอกาสเท่าเทียมกัน ทั้งเรื่องการศึกษา สาธารณสุข มีอาชีพ มีรายได้ มีความมั่นคงในชีวิต รวมไปถึงการที่พี่น้องประชาชนที่มีความทุกข์ร้อนเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ไม่มีที่ทำกิน มีหนี้สินท่วมตัว หรือคนที่มีความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสในทางใดทางหนึ่งนั้น จะต้องได้รับการดูแลอย่างเป็นระบบ
ครับ หากได้มีการข้อแถลงเช่นนี้ด้วยความจริงใจแล้ว นายกประเทศไทย จะชื่ออะไร จะสังกัดพรรคไหน ชื่นชอบสีอะไร จะมีเบื้องหลังความเป็นมาอย่างไร จะมือเปื้อนเลือดหรือขาวสะอาด ผมคิดว่าก็เป็นเรื่องที่คนไทยเราทุกคนควรให้ความร่วมมือครับ มิใช่เพื่อนายกหากแต่เพื่อคนไทยทุกคนครับ
ทั้งนี้สำหรับการปฎิรูปภาคสังคม ตามกระบวนการการปรองดองข้อที่ 2 นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนแห่งชาติ เป็นวาระพิเศษ ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 12-13 พ.ค. 53 เพื่อรวบรวมปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้างความไม่เป็นธรรมทั้งหมด โดยคณะกรรมการชุดนี้มีคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเป็นประธานครับ ในวันนั้นจะมีตัวแทนจากภาคชุมชน ภาคประชาสังคม และภาคีการพัฒนาด้านสังคมเข้าร่วมประชุมกันอย่างกว้างขวางครับ
หากแต่ผมยังติดงานในพื้นที่แถวป่าห้วยขาแข้ง นครสวรรค์จึงไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย(จริงๆแล้วอยู่ปลายแถวครับ)
สวัสดีค่ะ พี่สุเทพ
อ่านทัศนะที่พี่เขียนเยอะเลยค่ะ "ชุมชนจัดการตัวเอง" กับการใช้แนวทางที่บอกว่า "พื้นที่เป็นตัวตั้ง "น่าจะเป็นแนวเดียวกันนะค่ะ แต่ขณะนี้แนวทางนี้ประชาชนคนไทยจะมีกระจิตกระใจคิดหาหนทางให้ประเทศเดินหน้าได้หรือเปล่านะ พอดีหยุดหลายวันค่ะได้มีโอกาสอ่านข้อความและข้อคิดเห็นจากหลาย ๆ ท่านค่อยคลายเครียดหน่อย หลายวันนี้ เห็นภาพข่าวทุกวันนึกไม่ออกว่าทำแบบนี้กันไปทำไม นี่หรือประชาธิปไตย มีลูกจะอธิบายกับลูกอย่างไรให้เข้าใจ "ประชาธิปไตยดีค่ะ"
สวัสดีครับน้องกุ้ง_วรรณา สีหาทัพ