บรรยากาศการเมืองไทย ณ วันที่ 23 มิย. 49 เริ่มเห็นรุ่งอรุณ หลังจากมืดมิดมา 5 ปี เป็นการพิสูจน์ว่าธรรมะย่อมชนะอธรรม แม้บางครั้งต้องใช้เวลานานและต้องผ่านการต่อสู้ยืดเยื้อ
การที่แนวร่วมของขบวนการอธรรมค่อยๆ ปลีกตัวออกมาทีละคนสองคนเป็นสัญญาณว่าอธรรมจะตั้งอยู่ต่อไปได้ยาก
มองในแง่ดี นี่คือบทเรียนราคาแพงสำหรับสังคมไทย และสำหรับทุกคน รวมทั้งผู้ก่อกรรมด้วย เป็นบทเรียนว่า คนเราสามรถโกหกให้คนอื่นเชื่อได้ แต่ไม่ทุกคน ไม่ทุกเรื่อง และไม่ทุกเวลา เป็นบทเรียนว่าวิธีการสร้างตัวโดยทำลายล้างอย่างรุนแรงนั้น ไม่ยั่งยืน
ผมเป็นคนไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการเมือง ในการไปร่วมประชุมสภาฯ จุฬาเมื่อ 3-4 ปีมาแล้ว มีคนพูดถึง "เนติบริกร" ว่าเปลืองตัว เสียชื่อ ไม่คุ้ม ผมเองก็ไม่เข้าใจ และไม่เคยพยายามเข้าใจ เพราะคิดว่าคงจะอยู่บนฐานของกิเลส ซึ่งผมไม่อยากเข้าไปยุ่ง ผมชอบคิดด้านที่เป็นกุศลมากกว่าเพราะเห็นว่าตัวเองความสามารถจำกัด เก็บความคิดเอาไว้ใช้งานเชิงบวกดีกว่า
อธรรมในที่นี้ผมหมายถึงการทำลายกลไกตรวจสอบของบ้านเมือง การใช้เงินซื้อความถูกต้องของสังคม การหาทางเลี่ยงกฎหมายหรือทำให้กฎหมายเอื้อประโยชน์ตน ไม่ใช่ประโยชน์บ้านเมือง
มาบัดนี้ก็เห็นจริง ว่าการ "หลงป่า" อำนาจและตำแหน่ง หลงไปเข้าค่ายอธรรม มันเจ็บปวดและน่าเห็นใจ
วิจารณ์ พานิช
๒๓ มิย. ๔๙
บนเครื่องบินไปหาดใหญ่