สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ /ชาวกระทรวงพาณิชย์/และท่านผู้อ่านทุกท่าน
เช้าวันนี้วันที่ 5 สิงหาคม 2549 หลายท่านคงดีใจ ปิติยินดีกันทั่วหน้า ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ทรงปลอดภัยและเสด็จกลับไปพักรักษาพระองค์ที่พระราชวังสวนจิตฯ ได้แล้ว วันนี้ ผมศึกษาบทความจาก น.ส.พ.แนวหน้า จาก http://www.naewna.com/gotocolumn.asp?ID=97 ศึกษาบทความ ของ ศ.ดร.จีระ บทเรียนจากความจริง ปฏิวัติการวัดค่าทรัพย์สิน (WEALTH)และคัดมาบางประโยคจากบทความที่ ศ.ดร.จีระ เขียนไว้ (สีนำเงิน) ส่วนที่ผมมีความเห็นเพิ่มเติม ผมเขียนไว้ทำเป็นสีดำ เพื่อแชร์ความคิด ที่อาจจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน นักศึกษาที่สนใจ รายละเอียดมีดังนี้
“การจะทำอะไรสักอย่างต้องเกิดจากความชอบ ความสนุก อยากทำและท้าทาย”เรื่องนี้ ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง กับ ศ.ดร.จีระ ที่ว่า คนเราจะทำอะไรสักอย่างต้องเกิดจากความชอบ ความสนุก อยากทำและท้าทาย ผมขอเสริมตรงนี้ อยากจะฝากครู อาจารย์ในบ้านเมืองเรา ให้เข้าใจ และเห็นความสำคัญของสิ่งที่ ศ.ดร.จีระ กล่าวในประโยคนี้ เพื่อนำไปใช้กระตุ้นให้เด็กนักเรียน เกิดความชอบ สนุก และอยากเรียนรู้ และท้าทายที่จะทำและคิดสิ่งใหม่ ๆ ส่งเสริมให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ได้ เช่น การเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ตามโรงเรียน สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ควรให้ความสำคัญในเรื่องการกระตุ้นเด็กนักเรียน ให้เกิดความชอบ ในการเรียนภาษาอังกฤษ สนุกที่จะเรียนรู้คำศัพท์ต่าง ๆ และอยากเรียนต่อ ไม่ใช่บังคับให้ท่องศัพท์ ท่องจำ เป็นต้น
การจะทำอะไรสักอย่างต้องเกิดจากความชอบ ความสนุก อยากทำและท้าทาย ที่ ศ.ดร.จีระ กล่าวไว้นี้ ยังสอดคล้องกับแนวพุทธศาสตร์ กล่าวคือพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า ธรรมแห่งความสำเร็จ ได้แก่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา รวมกันเรียกว่า “อิทธิบาท 4” เป็นรากฐานแห่งความสำเร็จ เครื่องให้ลุถึงความสำเร็จตามที่ตนประสงค์ ผู้หวังความสำเร็จในสิ่งใด ต้องทำตนให้สมบูรณ์ ด้วยสิ่งที่เรียกว่า อิทธิบาท ซึ่งจำแนกไว้เป็น 4 คือ
1. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
2. วิริยะ ความพากเพียรในสิ่งนั้น
3. จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
4. วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น ตรงนี้ อยากจะจุดประกายให้นักศึกษา ลูกศิษย์ ศ.ดร.จีระ และลูกศิษย์ของผมได้ยึดเป็นหลักแห่งความสำเร็จ ในการเรียน และการดำเนินชีวิตทั้งปัจจุบันและอนาคต
“บทความ รู้สึกว่ามีค่าและมีประโยชน์ เพราะ พูดความจริงและตรงประเด็น”
บทความของ ศ.ดร.จีระ ถ้าอ่านแล้วคิดวิเคราะห์ต่อยอดจะเกิดประโยชน์กับตนเองและสังคม เพราะ ศ.ดร.จีระ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่ทันสมัย มีความรู้ใหม่ สด และยังเป็นผู้มีอุดมการณ์ คล้ายกับ ศ.ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ คือ มีความเป็นชาตินิยมสูงมาก คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมของ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นที่ตั้ง ด้วยความเป็นคนเช่น การคิด การเขียน การกระทำ การพูดก็ตาม ล้วนมีสาระ จริง ตรงประเด็นและเกิดประโยชน์ (อย่าไปคิดแค่พูดเพราะ หรือไม่เพราะ) ลูกศิษย์ ศ.ดร.จีระ ที่ฟังแล้วคิดวิเคราะห์ ต่อยอดเป็นคือ ฟังและเรียนรู้อย่างผู้มีบุญ คือ ฟังอย่างสนใจ ใส่ใจและเอาใจใส่ ก็จะเกิดปัญญา ลูกศิษย์บางคนเริ่มแรกอาจจะตามอาจารย์ไม่ทัน อาจจะเกิดอาการมึนบ้าง แต่ถ้าตามติด อ่านต่อ จะเริ่มเห็นสัจจะธรรม คุณประโยชน์ ในบทความนั้น
“motivation คนไทยมักจะมองแคบ คือ มองถึงอำนาจ เงินทอง เพชร นาฬิกา รถ แพงๆ คอนโดมิเนียม เป็นต้น เท่านั้น ไม่นึกถึงสิ่งที่วัดไม่ได้ เช่น ความสุข ความมีสมาธิ การแบ่งปัน การ มองส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว หรือสำหรับผม ให้คนอ่าน คิดเป็น วิเคราะห์เป็น”
เรื่อง Motivation เป็นเสมือนเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ถ้าใช้โดยปราศจากความรู้ ความเข้าใจ จะไม่เกิดประโยชน์กลับจะมีโทษตามมา
การ Motivation ยังเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ใช้ในการสร้าง ใช้และรักษาอำนาจ กล่าวคือเป็นการสร้างอำนาจได้ด้วยการให้ Motivation เป็นการให้อย่างหนึ่งที่ผู้บริหาร ผู้นำ มักใช้กันทั้งภาครัฐและเอกชน
ปัญหาอย่างหนึ่งที่พบ อย่างที่ ศ.ดร.จีระ กล่าวไว้ ว่า Motivation ไม่ใช่แค่เรื่องการให้ทางวัตถุ เงินทอง ครับ แต่หลายองค์กรนำไปใช้ ด้วยการให้แก้ว แหวน เงินทอง ของใช้ต่าง โดยปราศจากความรู้และเทคนิคของการให้ การให้ดังกล่าว สมาชิกในองค์กรจะรู้สึกว่า การให้ให้แก้ว แหวน เงินทอง ของใช้ต่างดังกล่าว ถ้าเป็นการให้ครั้งแรก ผุ้ได้รับจะรู้สึกชื่นชมผู้ให้ ครั้งที่สองผู้ได้รับ จะรู้สึกขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง พอครั้งที่สาม จะขอบคุณผู้ให้และเริ่มคาดหวังว่าจะได้อีกมากขึ้นในคราวต่อไป พอถึงเวลาที่ควรจะให้ครั้งที่สี่ แล้วไม่ได้หรือได้น้อยกว่าที่เคยได้ ก็จะเกิดปัญหา ความผิดหวังเกิดขึ้น ทำให้เกิดปัญหาแรงงานสัมพันธ์ในองค์กรมากมาย เป็นมูลเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสหภาพแรงงานในองค์กรได้ และมีปัญหาตามมาอีกมากมาย แนวทางในการแก้ไขและป้องกัน ผมแนะนำว่า การให้แก้ว แหวน เงินทองเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าให้โดยปราศจากเหตุผลของการให้ และควรให้ความรู้ ควบคู่จริยธรรม หลักศาสนา ไปให้มากกว่า ทรัพย์สินที่ให้ พระพุทธเจ้า ได้ให้หลักการให้ Motivation ไว้ว่า การให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการให้ความรู้ ให้โอกาส ให้อภัย ให้ธรรมตามกาล
“อาจารย์ป๋วยว่า "ทำอะไรมากมาย ซึ่งเน้นทำความดีและเสียสละเพื่อส่วนรวม ทำไป เพื่ออะไร" ท่านตอบว่า "ในประเทศไทย ถ้าคนดีไม่ทำอะไร คนชั่วก็ต้องชนะ เพราะคนชั่วมีมากกว่าคนดี "
“คนดีมักจะเก็บตัวเงียบ อาย ไม่มีแนวร่วม ขาด social capital อยู่อย่างสงบ แต่คนไม่ดีจะบ้าอำนาจ ใช้อำนาจเหนือทุกอย่างที่ตนเองมีพลัง”
ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เขาคงไม่ถามกันใช่ไหมครับอาจารย์ เพราะคนส่วนใหญ่ในประเทศเหล่านั้น ล้วนมีหน้าที่ต้องทำความดี เสียสละเพื่อส่วนรวม เช่นประเทศญี่ปุ่นเป็นต้น
ในประเทศของเรา กำลังพัฒนา ศ.ดร.ติน ปรัชพฤกษ์ ท่านเคยสอนไว้ว่า “การพัฒนาคือการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงจะทำให้เกิดการเจ็บปวด คนเป็นผู้นำ คนเป็นนักพัฒนาต้องพร้อมรับและกล้าเผชิญกับความเจ็บปวดเหล่านี้ จึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลง” ขอให้คนดีทั้งหลายอย่าได้ท้อใจ เพราะท่านกำลังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาครับ ถ้าคนดีไม่ทำ แล้วใครจะทำ พอไม่มีใครทำความดี คนชั่วก็จะได้ใจ และเป็นใหญ่ในสังคม จะทำให้เกิดปัญหาความไม่สงบสุข ความไม่เจริญเกิดขึ้นในบ้านเมืองได้
ผมเชื่อมั่นว่า คงมีหลายคนถามประโยคนี้กับ ศ.ดร.จีระ ด้วยเช่นกัน เพราะอาจารย์ ทำงานอุทิศตนเหมือนเป็นนายกรัฐมนตรีผู้รักชาติ ทำงานพัฒนาคน พัฒนาชาติ โดยไม่ยึดมั่นในตำแหน่ง ไม่ต้องรอให้มีตำแหน่งแล้วจึงจะทำ ผมหวังว่าสังคมประเทศชาติของเราจะพัฒนาขึ้นโดยเร็วและให้ผู้นำประเทศหันมาให้ความสำคัญกับบุคคลผู้ทรงคุณค่า บุคคลของแผ่นดิน เช่นนี้ ด้วยการให้การสนับสนุนทุกรูปแบบ
”บทความผมอยู่ใน website ของแนวหน้า www.naewna.com ทุกวันเสาร์ โดย click ไปที่ " บทเรียนจากความจริงกับดร.จีระ " นอกจากที่อาจารย์กล่าวไว้ บทความดังกล่าวของ ศ.ดร.จีระ ยังมีอยู่ใน http://gotoknow.org/blog/chirakm ด้วย ครับ
“ผมสอนหนังสือเกือบจะทุกอาทิตย์ ระดับปริญญาโทและปริญญาเอก ซึ่งให้ นักเรียนอ่านบทความ โดยให้วิเคราะห์ว่า
- ผมเขียนโดยใช้ style อะไร
- ได้อะไรที่โป๊ะเชะบ้าง
- สร้างมูลค่าเพิ่มอย่างไรและปรับใช้กับตัวเองอย่างไร”
ผมเป็นลูกศิษย์ในโครงการปริญญาเอก คนหนึ่ง ที่ ศ.ดร.จีระ เป็นผู้สอน และส่วนหนึ่งที่ผมได้จาก ศ.ดร.จีระ คือ ได้นิสัยแห่งการเรียนรู้ การคิด การเขียน โดยเฉพาะการเขียนผ่าน Blog มากขึ้น จากการสอนของ ศ.ดร.จีระ ที่ต้องการเปลี่ยน และสร้างนิสัย ที่ดีให้กับลูกศิษย์ การเขียน Blog นี้ได้ประโยชน์มาก ผมต้องอ่าน คิด วิเคราะห์ และต่อยอดให้ได้ และผมจะฝึกต่อว่าต้องให้ได้ในเวลาที่ต้องให้รวดเร็ว การเขียน Blog นี้ จะปรากฏต่อสาธารณะชน จึงต้องคิดไตร่ตรอง เขียนให้ดี ได้นิสัยระมัดระวังในการเขียนด้วย คือต้องเป็นกลาง มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน เป็นต้น ขอบคุณอาจารย์ที่เพิ่มทุนเรื่องนี้ให้ผม
“คณะกรรมการสมาคมนักเรียนเก่าเทพศิรินทร์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ชุดใหม่ เข้าไปเยี่ยมคำนับและรายงานผลให้องคมนตรี พลอากาศตรีกำธน สินธวานนท์ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ของ เรา การได้ใกล้ชิดกับผู้ใหญ่ที่เมตตาต่อโรงเรียน นักเรียนเก่า และนักเรียนปัจจุบัน รวมทั้งคณาจารย์ด้วย เป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์ “พี่กำธนของเรา ได้เน้นว่า เด็กเทพศิรินทร์ต้องเก่งและดี ทั้งกีฬาและวิชาการ ต้อง เป็นคนมีมารยาท มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี”
ผมเพิ่งทราบว่า ที่เทพศิรินทร์ มีท่านองค์คมนตรี พลอากาศตรีกำธน สินธวานนท์ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพ ศรัทธาอย่างยิ่งเป็นศิษย์เก่าด้วย เทพศิรินทร์สร้างคนที่ทำคุณประโยชน์ให้กับสังคม ประเทศชาติเป็นอย่างมากไว้หลายท่าน น่าภูมิใจแทนคนไทยทั้งชาติ
ศ.ดร.จีระ ยังมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ โรงเรียนเทพศิรินทร์ ทั่วทุกแห่งมีคุณภาพเท่าเทียมกัน คือสร้างเด็กนักเรียนที่เทพศิรินทร์ให้เป็นคนเก่งและดี ทั้งกีฬาและวิชาการ ต้องเป็นคนีมารยาท มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ผู้ปกครองนักเรียนถ้าได้เห็นได้ยินเช่นนี้ คงจะสบายใจ เพราะจากบทความของ ศ.ดร.จีระ แสดงให้เห็นว่า โรงเรียนเทพศิรินทร์แสดงมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม และมีการปฎิบัติอย่างจริงจัง เช่นนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี
โรงเรียนหลาย ๆ แห่ง โดยเฉพาะนโยบายของรัฐ ในการบริหารด้านการศึกษา และพัฒนาเด็กนักเรียน น่าจะมาศึกษานโยบายในการบริหารโรงเรียนเทพศิรินทร์ แล้วนำไปเป็นหนึ่งในยุทธ์ศาสตร์บริหารโรงเรียน สร้างคนเพื่อสร้างชาติ ต่อไป
“การศึกษาของนักเรียนต่างจังหวัดเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นการยกฐานะของโรงเรียนต่างจังหวัดให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ”
เรื่องการบริหารการศึกษา ในต่างจังหวัด น่าเป็นห่วงครับ ผมดีใจที่ ศ.ดร.จีระ มีความคิดที่จะยกฐานะของโรงเรียนต่างจังหวัดให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งน่าจะเป็นงานสำคัญของรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ มาช่วยสนับสนุนความคิดของอาจารย์ให้เป็นจริงโดยเร็ว ท่านนายกฯทักษิณ น่าจะบริจาคเงินสร้างโรงเรียน ตัวอย่างทั่วทุกภาค เป็นโรงเรียนแห่งอนาคต เป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพทั้งคุณภาพครู อาจารย์ คุณภาพสถานศึกษา สภาพแวดล้อม เพื่อที่จะเอื้ออำนวยในการสร้างคนที่มีคุณภาพให้ชาติ เพื่อวางรากฐานความเข้มแข็งทางทุนมนุษย์ของชาติในอนาคต
”Toffler เป็นนักทำนายอนาคต Futurist เป็นที่ยอมรับที่สุดของโลกในปัจจุบัน หนังสือเล่มที่ดังมาก ที่สุดคือ "The Third Wave" มอง
เกษตร-----------อุตสาหกรรม-----------เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT)
แต่มาวันนี้ เขาบอกว่า นอกจาก IT แล้ว จะมีความรู้เป็นคลื่นลูกที่ 4 และความรู้เป็นทรัพย์สินที่ สำคัญที่มองไม่เห็น ( Intangibles ) ทรัพย์สินไม่ใช่เฉพาะ ที่ดิน เงิน หรือวัตถุ แต่ทรัพย์สินในอนาคตเป็นสิ่ง ที่มองไม่เห็น ( Intangibles )
- Happiness
- Blog
- การสร้างสังคมการเรียนรู้
- การเสียสละให้แก่ส่วนรวม
- การอ่านหนังสือ
- การใช้เวลากับลูก
- การสอนหนังสือ
- การมีสุขภาพทางกายและใจที่สมบูรณ์
- การนั่งสมาธิ ทำใจให้สงบ
- การทำงานอาสาสมัครให้ส่วนรวม
ซึ่งตรงกับทฤษฎี 8 K's และ 5 K's ของผมในบางส่วน” “ใช้ชีวิตโดยแสวงหาความรู้อย่างไม่หยุดยั้ง และมีความสุขที่ได้ แลกเปลี่ยน แบ่งปันความรู้ แต่ความรู้และความสุขไม่ได้มาฟรีๆ ต้องเปลี่ยนทุนมนุษย์มาเป็นทุนทาง ปัญญา คือต้องคิดเป็น ทำเป็น ทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีก 2 ทุนคือ ทุนทางจริยธรรม และทุนแห่งความยั่งยืน ซึ่ง 2 Kนี้วัดไม่ได้ คนไทยจึงไม่เข้าใจ “
จากประโยคที่ ศ.ดร.จีระ เขียนไว้ ผมสรุปได้ว่า คลื่นลูกที่สี่ คือ ความรู้ เกษตร-------อุตสาหกรรม-------เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) --------ความรู้
ในอดีตประเทศใด องค์กรใด สังคมใด จะมีความเจริญมั่งคั่งหรือไม่ ดูที่การเกษตร ต่อมาดูที่การอุตสาหกรรม ต่อมาดูที่การเทคโนโลยีสารสนเทศ ในประเทศ ในองค์กร ในสังคมนั้น ๆ ตรงนี้ ในประเทศญี่ปุ่นเห็นชัดเจนมาก ญี่ปุ่นพัฒนาตนเอง จากประเทศเกษตร เป็นประเทศอุตสาหกรรม และพัฒนามาทำเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้รวดเร็วมาก
ในประเทศอินเดีย จากประเทศยากจน กำลังจะพลิกผันเป็นประเทศผู้นำด้าน เทคโนโลยีสารสนเทศ ในประเทศจีน หลายท่านคงทราบดีว่า จีนมีครบหมด เกษตรอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) และฐานความรู้ศาสตร์ต่าง ๆ ของจีนที่มีคุณค่าสะสมมานับพันปี ก็มีหลายศาสตร์
ในสังคม ในองค์กร ยุคปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องหันมาทบทวนเรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศ และเรื่องการจัดการด้านความรู้ ส่งเสริมให้คนในสังคม ในองค์กร เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ ในยุคนี้ถ้าคนในองค์กร ในประเทศ มีทุนทางความรู้มากเท่าใด ยิ่งสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทุกรูปแบบ ความรู้ที่คู่คุณธรรมจึงเป็นฐานของทุนมนุษย์ ทั้งภาครัฐและเอกชนควรให้ความสำคัญในเรื่องนี้มากกว่ารถประจำตำแหน่ง วัตถุนิยมต่าง ๆ ซึ่งไม่ใช่ความยั่งยืนขององค์กร ของชาติ
ท่านผู้อ่านที่สนใจติดตามสาระน่ารู้ กับ ศ.ดร.จีระ ท่านสามารถติดตามได้จากรายการโทรทัศน์ ”สู่ศตวรรษใหม่” ทาง ช่อง 11 ทุกวันอาทิตย์แรกของเดือน เวลา 14.00-15.00 น. และออกอากาศอีกทีทาง UBC 7 ทุกวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนเวลา 14.00-15.00 น. และรายการคิดเป็นก้าวเป็นกับดร.จีระ ทาง UBC 7 อาทิตย์ที่ 1,3 และ 5 ของเดือนเวลา 13.00-13.50 น. นอกจากนั้นยังมีรายการวิทยุ knowledge for people ทุกวันอาทิตย์ เวลา 18.00 – 19.00 น. ทางสถานีวิทยุ อสมท. F.M. 96.5 MHz Hz คอลัมน์ “บทเรียนจากความจริงกับดร.จีระ” ของหนังสือพิมพ์แนวหน้าทุกวันเสาร์หน้า 5 ผมขอเชิญให้ท่านติดตามศึกษาหาความรู้ จากผลงานของ ศ.ดร.จีระ และร่วมกันแสดงความคิดเห็น สะสมสร้างทุนทางความรู้ ทุนทางปัญญา และทุนทางสังคม ใน Blog นี้ ครับ
ขอโชคดีจงมีแด่ผู้อ่านทุกท่าน
สวัสดีครับ
ยม
น.ศ.ปริญญาเอก
หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (กทม.2
โบนัส 7 พันล้าน : ได้ผลจริงไหม[1]
ระหว่างนี้การเมืองยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก ขอให้ทุกท่านตั้งสติให้ดี ในฐานะที่ผมเป็นนักอ่านประวัติศาสตร์อยู่บ้าง เหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่เกิดเฉพาะประเทศไทย บางประเทศก็มีปรากฏการณ์คล้ายๆ ของเราหลายครั้ง
เมื่อมองการเมือง เช่น การเมืองของรัสเซีย สมัยเปลี่ยนจากระบบพระเจ้าซาร์ มาเป็นระบบคอมมิวนิสต์ มีความโหดร้าย ทารุณ เช่น ยุคเลนิน ยุคสตาลิน
- การเมืองของเยอรมันสมัย Hitler ครองประเทศ 12 ปี ก็โหดร้ายทารุณมาก ฮิตเลอร์ (Hitler) สร้างความหายนะให้แก่ประชาชนมากมาย ทั้งที่คนเยอรมันก็ฉลาด
- การเมืองในจีนสมัยเหมา เจ๋อ ตุง ขึ้นปกครองระบบคอมมิวนิสต์ ก็น่าศึกษา
ระยะหลังเด็กไทยไม่สนใจประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะเด็กที่สนใจทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เลยรู้ไม่จริง ไม่เป็นสังคมการเรียนรู้ โดยเฉพาะการวิเคราะห์การเมืองของสื่อมวลชนของไทย ที่ทำข่าวไปวันๆ มองประเด็นไม่ชัดเจน ทำให้คนไทยสับสน
ขอกลับเข้าเรื่องควันหลงฟุตบอลโลกมีหลายเรื่องน่าสนใจ
เรื่องแรกคือ ทุกคนถามว่า ทำไม Zidane จึงควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ เกิดผลเสีย ไม่ได้เตะลูกโทษ ทั้งที่ มีเวลาเหลืออยู่แค่ 10 นาที การมีการฝึกควบคุมอารมณ์ Emotional Intelligence นับว่าเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ทฤษฎี 8 K's และ 5 K's ของผม มักจะ apply ได้เสมอ
Zidane มีเรื่องการควบคุมอารมณ์ไม่ได้มานานแล้ว ในประวัติถูกใบแดงทั้งหมด 16 ครั้ง คู่ต่อสู้คงรู้จุดอ่อน เพราะถ้ายิงลูกโทษ โดยไม่มี Zidane โอกาสที่อิตาลีชนะคงมีสูง ถ้า Zidane ถูกใบแดง อิตาลีมีโอกาสชนะ ฟุตบอลคือธุรกิจ และกลยุทธ์ (Tactics) ต่างๆ ที่นำเอามาใช้ ขอให้คนไทยหรือเยาวชนไทยมองให้เป็นบทเรียนและนำมาใช้ในการดำรงชีวิต ช่วยในการทำธุรกิจ หรือช่วยในการเป็นนักกีฬาฟุตบอลที่ดีและเก่ง มากกว่าเล่นการพนันอย่างเดียว
ฟุตบอลโลกจะทำให้ฟุตบอลอังกฤษดังมากขึ้น เพราะนักฟุตบอลดีๆ จากยุโรป อยู่ในพรีเมียร์ลีกของอังกฤษมากมาย คนไทยคงจะได้ดูสนุกต่อไป
ฟุตบอลกลายเป็นการทูตที่ยิ่งใหญ่ มีคนพูดกันว่า แม้กระทั่งการก่อการร้ายยังเว้นวรรค เพราะผู้ก่อการร้ายก็ชอบฟุตบอลด้วย พอฟุตบอลโลกจบก็เริ่มการก่อการร้ายอีก เช่น ในอินเดีย เป็นต้น
ผมจะทำรายการโทรทัศน์เรื่องควันหลงฟุตบอลโลก โดยเชิญอาจารย์อัษฎางค์ ปาณิกบุตร อดีตนักฟุตบอลโรงเรียนเทพศิรินทร์และทีมชาติไทยมาแสดงความเห็น และเชิญคุณอิสรพงษ์ ผลมั่ง มาออกอากาศในรายการคิดเป็น ก้าวเป็นกับดร.จีระ ในวันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม เวลา 13.00 - 14.00 น.ทาง UBC 7 ติดตามมุมมองของเราให้ดีด้วยนะครับ
ฟุตบอลกลายเป็น Global Brand อย่างแท้จริง ทำให้อเมริกาเสียหน้ามาก เพราะนึกว่ากีฬาของโลกต้องเป็นเบสบอล หรืออเมริกันฟุตบอล ทุกทวีปของโลกบ้าฟุตบอล ไม่ได้บ้าคลั่งกีฬาของอเมริกาอย่างที่คนอเมริกันคิด
ผมคิดว่าฟุตบอล อาจจะช่วยการพัฒนาประเทศและสร้างสันติภาพของโลกด้วย เช่น อีก 4 ปีข้างหน้าจะไปแข่งที่ South Africa ทวีปแอฟริกากำลังเริ่มตื่นตัวทางเศรษฐกิจ เมื่อจะมีฟุตบอลโลกด้วย ก็จะเร่งให้คนในโลกหันมามองทวีปแอฟริกามากขึ้น ผมจะทำรายการโทรทัศน์กระตุ้นให้คนไทยสนใจทวีปแอฟริกามากขึ้น โดยจะเชิญทูตของ South Africa ซึ่งเป็นสุภาพสตรีมาออกรายการโทรทัศน์ เป็นพันธมิตรกันมากขึ้น ท่านผู้อ่านทราบหรือไม่ว่า วันนี้ประเทศจีนมีนโยบายผูกมิตรกับแอฟริกาอย่างมากมาย สิงคโปร์และมาเลเซีย ก็เข้าไปผูกมิตร ซึ่งผมจะทำเรื่องการทูตภาคประชาชนกับประเทศในกลุ่มAfrica ต่อไป เพื่อเสริมนโยบายของรัฐบาล
ก่อนจบ ผมอยากเสนอความเห็นเรื่อง รัฐบาลทักษิณให้โบนัสแก่ข้าราชการไทยอีก 7 พันล้านบาท ซึ่งเป็นข่าวที่น่ายินดี แต่จะขอเพิ่มเติมและมีมุมมองเพิ่มขึ้นดังต่อไปนี้
- ประการแรก การปฏิรูประบบราชการของนายกฯทักษิณเป็นเรื่องดี เน้นแต่จะทำการปฏิรูปที่รวดเร็ว หวังผลง่ายๆ ไม่ได้ ต้องเน้นการทำงานให้ได้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเพราะต้องใช้เวลา และทำให้ถูกต้อง
ข้อแรกคือ นายกฯทักษิณหวังดีต่อระบบราชการ แต่ต้องเข้าใจระบบราชการว่า เขามีจุดอ่อน จุดแข็งอย่างไร ระบบราชการแตกต่างกับภาคเอกชน แต่ค่อยๆ ปรับให้ดีขึ้นได้
ข้อที่สอง ผมเคยได้ยินท่านพูดหลายครั้งว่า การปฏิรูประบบราชการ จะปฏิรูปพฤติกรรม ไม่ใช่ปฏิรูปโครงสร้างเท่านั้น
ดังนั้นการให้โบนัสถือว่าเป็นการให้ Motivation ที่ดี แต่ทฤษฎี 3 วงกลมของผมได้เน้นอีก 2 เรื่อง
ซึ่งชี้ให้เห็นว่า การจะช่วยให้ระบบราชการให้อยู่รอดได้ ต้องทำ 3 เรื่อง
(1) วงกลมที่ 1 ต้องให้องค์กรราชการเป็นองค์กรที่กะทัดรัด ไม่อุ้ยอ้าย บางแห่งเรียกว่า Lean หรือ Mean ซึ่งจะต้องทำงานเป็น process หรือกระบวนการ เป็นแนวนอนไปสู่ลูกค้า โดยต้องการทำงานที่ :
(1) เร็ว
(2) แม่นยำ
(3) ทำให้เสร็จในครั้งเดียว
(4) คุ้มค่ากับการใช้ทรัพยากรที่มีจำกัด
ตั้งแต่มีการปฏิรูปมา ยังไม่มีการทำแบบนี้ ยุคก่อนนายกฯทักษิณ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน หรือ ก.พ.ได้เคยเชิญที่ปรึกษามาปฏิรูปการทำงานแบบ Re-engineering เป็นการจัดองค์กรให้ทันสมัย ซึ่งอาจจะยังไม่ได้ผลเท่าที่ควร เพราะยังไม่ทำงานต่อเนื่อง และยังไม่ได้เน้นการบริหารการเปลี่ยนแปลง อยากให้ท่านนายกฯลองพิจารณาประเด็นการปรับองค์กรให้กระทัดรัดด้วย
(2) วงกลมที่ 2 เรื่องให้สร้าง Competencies มี 5 เรื่อง
(1) Functional Competency รู้ในเรื่องเฉพาะทางที่ตัวเองถนัด
(2) Organizational Competency รู้จักเรื่องการบริหารจัดการ
(3) Leadership Competency ต้องมีภาวะผู้นำ
(4) Entrepreneurial Competency มีจิตวิญญาณการเป็นผู้ประกอบการ
(5) Macro and Global Competency รู้จักโลกและมองภาพรวม
ผมได้ทราบว่า การกำหนด Benchmark การลงทุนในการพัฒนาบุคลากรของรัฐยังไม่แน่นอน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ หรือ ก.พ.ร. ยังไม่ได้ทำให้ชัดเจน บางหน่วยงานก็ถูกตัดงบพัฒนาบุคลากรที่กรรมาธิการงบประมาณ เพราะต้องเอาไปใช้ในงบกลาง ถ้านายกฯจะเอาจริงเรื่องคุณภาพของข้าราชการต้องลงทุนอย่างต่อเนื่อง มีงบประมาณพอเพียงและทำให้ได้ผล ผมได้มีโอกาสทำงานให้หน่วยงานหลายแห่งอย่างต่อเนื่อง เช่น กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ หรือโรงเรียนมัธยมบางแห่ง ซึ่งได้ผลมาก และกำลังจะทำให้ระดับการบริหารท้องถิ่นด้วย
การสร้าง Competency ไม่ใช่ตามตำรา แต่ต้องมีคนทำอย่างมืออาชีพ มีวิธีการเรียนที่น่าสนใจ โดยเน้น 4 L's
- Learning Methodology วิธีการเรียนต้องน่าสนใจ
- Learning Environment สภาพแวดล้อมในการเรียนต้องดี
- Learning Opportunity โอกาสในการได้ปะทะกันทางปัญญา
- Learning Communities สร้างชุมชนการเรียนรู้
และเน้น 2 R's คือ
- Reality มองความจริง
- Relevance ตรงประเด็น
ส่วนวงกลมสุดท้าย ผมขอชมเชยนายกฯ ที่สร้างขวัญกำลังใจให้มากขึ้น แต่ในทฤษฎี 3 วงกลม ต้องให้ทั้งการปรับองค์กร การสร้าง Competencies และ Motivation ไปด้วยกัน
ท่านเป็นผู้นำ ต้องเอาจริง อย่าให้ยาหอมเพื่อหวังผลทางการเมืองระยะสั้นเท่านั้น เพราะ ถ้าทำอย่างนั้น ก็ไม่ทำให้ราชการมีการพัฒนาอย่างยั่งยืน และในยุคโลกาภิวัตน์ ข้าราชการตามโลกไม่ทันครับ
[email protected]
โทร. 02-273-0180, 0-2619-0512-3
โทรสาร 0-2273-0181
[1] http://www.naewna.com/gotocolumn.asp?ID=97