ในวาระนี้พวกเราท่านทั้งหลายจะได้ฟังพระธรรมเทศนา
อันเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ในการฟังธรรมวันนี้
อาจจะย้ำเตือนสิ่งเก่าๆ ที่ได้เคยเตือนและเคยพูดไป แต่เพิ่มสิ่งใหม่ทีละนิด
หากจะเติมสิ่งใหม่เข้าไปเต็มที่ จิตของเราที่ยังสับสนวุ่นวาย
ก็จะเกิดความสับสนโกลาหลเพิ่มขึ้นอีก
เราอาจจะตามไม่ทัน หรืออาจจะยังไม่เข้าใจ ทำให้เกิดความสับสนมากยิ่งขึ้น
ฉะนั้น ในวันนี้จะกล่าวย้ำเตือนบางสิ่งบางหัวข้อ
และกล่าวเพิ่มเติมให้ก่อเกิดในส่วนที่เป็นอุปมาอุปไมยให้ฟัง
เมื่อเราฟังธรรมก็ให้นั่งหลับตาฟัง โดยเอามือวางไว้ที่ตัก
และน้อมจิตไปฟังตามเสียงธรรมนั้น
การที่ท่านทั้งหลายได้เข้ามาค้นหาพระพุทธเจ้าองค์จริงก็คือ
การเจาะใจของตนเอง พิจารณาว่าธรรมที่มีอยู่ในโลก
ที่เราได้ยินกันมาตั้งแต่เด็กมาจนอายุปูนนี้แล้ว
เราได้เห็นธรรมมากน้อยอย่างไร
ในช่วงระยะผ่านมาของชีวิตหนึ่ง สิ่งที่ได้กล่าวไว้ตั้งแต่เรื่อง
นิวรณธรรม ๕ ประการ
http://gotoknow.org/blog/mindfreedom/348210
และได้มีการสอบสภาวะอารมณ์ของผู้ปฏิบัติ
ซึ่งให้ผู้ปฏิบัติไปคิดพิจารณา
การที่เราตั้งใจฟังและนำไปพิจารณา นำไปปฏิบัติตามสภาวะ
ตามหัวข้อธรรมที่ได้กล่าวไปนั้น จะแก้สภาวะอารมณ์ได้
และเข้าใจหลักของการปฏิบัติบ้างไม่มากก็น้อย
สติเป็นตัวปกป้องคุ้มครองจิต
ในที่นี้ขอยกตัวอย่างเรื่องลูกเศรษฐีที่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา
แล้วเกิดความอึดอัดกระวนกระวายใจในการที่จะรักษาระเบียบวินัย
กฏกติกามารยาทในสังคม
จนพระพี่เลี้ยงได้นำเรื่องไปกราบทูลพระพุทธเจ้า
พระองค์ท่านทรงเมตตาชี้แนะวิธีการรักษาจิตเพียงข้อเดียว
คือ การรักษาใจไม่ให้เกิดกิเลส
ดังนั้น เมื่อลูกของเศรษฐีรักษาใจไม่ให้เกิดกิเลสแล้ว
ท่านก็แนะนำให้รู้จักพัฒนาจิต หรือ พัฒนาสติ
เมื่อท่านทั้งหลายรู้จักพัฒนาสติให้มากขึ้นแล้ว
สตินี้ก็จะเป็นตัวปกป้องคุ้มครองจิต
เมื่อสติดี สติแก่กล้าเข้มแข็งมากขึ้น
สติตัวนี้ก็จะตามไปปกปักรักษาจิตไม่ให้สิ่งสกปรกมัวหมอง
คือ กิเลสเข้ามาในใจได้ ใจของเราก็จะบริสุทธิ์ผุดผ่องแผ้ว
เมื่อใจของเราบริสุทธิ์ผุดผ่องแล้ว
การพัฒนาจิตของเราจะเริ่มดีขึ้นเป็นทุกขณะ
จิตก็จะรู้เท่าทันต่อสภาวะที่เกิดขึ้น
เช่น อาการที่ท้องพอง ก็เห็นท้องพองชัดเจน อาการท้องยุบ
ก็เห็นท้องยุบชัดเจน เพราะเรามีสติและตั้งจิตดูอยู่พร้อมกัน
และเห็นความชัดเจน ความละเอียดคือ สัมปชัญญะ
รู้ว่าขณะนี้อาการท้องพอง
และรู้ว่าขณะที่พองเป็นอย่างไร
ไม่มีความเห็น