ต่อจาก บันทึกที่แล้ว เมื่อปิ๊คอัพสองตอนมาจอด ยังไม่ได้ทำเงานเลยค่ะ พี่เตือนยกถุงแตงกวามาสองถุง และบวบอีกหนึ่งถุง ใหญ่ บอกว่านำมาฝาก เป็นผลผลิตของคนในสถานสงเคราะห์ฯบ้านเราเอง ที่เห็นเป็นส่วนที่เหลือจากแบ่งกันแล้ว...ผักปลูกเอง ปลอดสารพิษ พี่เตือนว่า
ผู้พิการที่ทีมเราจะเข้าไปเยี่ยมและให้ความช่วยเหลือ ฉันขอใช้นามแฝงหมดทุกคนนะคะ
รายแรกคือ “ค่อม” ระหว่างที่ก้าวลงจากรถเพื่อไปบ้านค่อม ต้องบอกว่าพวกเราทุกคนต่างอุทานพร้อมกันว่าหนาวเย็นมาก ก็เพราะพวกเรากำลังเดินอยู่ในหุบเขา ค่อมชายร่างพิการ ผู้มีอัธยาศัยดีมีความพิการทางร่างกาย ค่อมพูดไม่ได้ แต่หูไม่หนวก ค่อมรับจ้างทุกอย่างที่มีคนจ้าง แต่ทำได้ไม่นานเพราะเหนื่อยง่ายจากความพิการของร่างกาย วันนี้ค่อมก็ไปช่วยญาติจัดสถานที่เพราะจะมีงานบวชของญาติค่อม เมื่อพวกเราไปถึงค่อมยิ้มทักทายอย่างดีใจ ครั้งหนึ่ง มะเดี่ยวเล่าว่าพานักศึกษาแพทย์ออกชุมชนเดินกันไปเลยเถิด ก็ได้ค่อมนั่นแหละช่วยโบกรถ สื่อสารและเจรจาตามภาษาของค่อมให้กับคนพูดได้ จนได้เดินทางกลับถึงสถานีอนามัย
“บอย” ผู้พิการทางสมองอายุ 12 ขวบ แต่สมองของบอยเท่าเด็ก 4-5 ขวบ สวมกางเกงเก่าๆขาสั้น เสื้อยืดสีดำแถมกลับด้านอีกต่างหาก น่าจะสูงเกิน 150 ซม. เมื่อเราเข้าไปถึง บอยทำหน้าตกตะลึงออกกลัวเล็กๆ เมื่อบอกว่าหมอมาเยี่ยม แต่เมื่อจำมะเดี่ยวและน้องกุลได้ จึงคลายความกลัว บอยเกิดจากแม่ผู้พิการทางสมองเช่นกันหรือที่เขาเรียกว่า ปัญญาอ่อน หลังคลอดนานมากกว่าจะมีคนไปแจ้งเกิดให้บอย สำหรับแม่ของบอยเองก็ระเหเร่ร่อนไปเรื่อย แม่ของบอยรายนี้เองที่ญาติขายสิทธิ์บัตรประชาชนให้คนอื่น และคนอื่นนั้นก็คือชาวพม่าที่เข้ามาทำมาหากินและแต่งงานกับคนไทยในพื้นที่ ฟังแล้วน่าเศร้าใจจริงๆ แม่ของบอยเลยไม่ได้สิทธิในการช่วยเหลือจากรัฐบาลใดๆเลย บอยอาศัยอยู่กับป้า ผู้เป็นพี่สาวของแม่ พวกเราพบบอยอยู่บ้านกับน้อง(ลูกของป้า) อายุประมาณ 5-6 ขวบ จึงให้บอยตามป้าจากที่บอยบอกว่าอยู่ในป่าแค่นี้เอง แล้วชี้มือไปในไร่ที่ถูกไถโล่งแล้วที่อยู่ตรงข้ามกับบ้าน บอยวิ่งหายไปสักพัก ส่งเสียง เอิ้วๆ เอิ้วๆ แล้ววิ่งกลับออกมา พวกเราถามว่าเจอป้ามัย บอยบอกเจอซึ่งพวกเราก็ไม่มั่นใจนัก บอยบอกว่านั่นไงเห็นรถมอเตอร์ไซด์อยู่ พวกเราคอยสักพักคิดว่าคงไม่ได้เรื่องบอยคงพูดไปเรื่อย อยู่ๆบอยก็บอกว่า นั่นไงมาแล้วแต่พวกเรามองไม่เห็นใครเลยจึงว่าบอยพูดมั่ว บอยบอกฟังสิ เสียงรถมอเตอร์ไซด์ดังมาแล้ว มาแล้ว เมื่อเรามอไปยังถนนที่อยู่ห่างจากบ้านประมาณ 150 เมตร จริงๆด้วยมีมอเตอร์ไซด์เข้ามาแล้ว มะเดี่ยวร้องอย่างดีใจ นั่นไงป้าของบอย หนูจำป้าเค้าได้ พวกเราต่างสงสัยว่าบอยหูดีจริงๆ เมื่อขอถ่ายรูปด้วยบอยยืนตัวแข็งทื่อ มือเย็นเจี๊ยบ สงสัยกลัวจริงๆ สักพักชี้มือไปที่ราวตากผ้าบอกว่าวันนี้ตากผ้าเต็มเลย สวยมั้ย เก่งมั้ย บอยถามพวกเรา...ฉันได้แต่ชมเปาะว่าเก่งมาก ว่าแล้วก็ขอเข้าไปกอดบอย ซึ่งบอยตัวสูงเท่าๆฉัน ยังคงทำตัวแข็งทื่อเหมือนเดิม เมื่อกล่าวลา บอยส่งยิ้มอันบริสุทธิ์ให้ ลาก่อนจ๊ะบอย ไม่รู้ว่าเราจะได้พบกันอีกหรือเปล่า
เมื่อยืนอยู่บ้านบอยฉันรู้สึกมีความสุขกับสภาพความเป็นอยู่จังเลย ต้นไม้ร่มรื่น มีอากาศหายใจที่บริสุทธิ์ บ้านไม่ต้องมีรั้ว เงียบ สงบ ฉันเองอาจจะโหยหาธรรมชาติ ในขณะที่พวกเขาอาจจะอยากหนีธรรมชาติที่เคยชิน (อันนี้ฉันคิดเองค่ะ)
ทางเข้าบ้านบอยแคบพอให้รถผ่านได้