กายใจไม่ใช่ตัวตนบังคับไม่ได้ ประสบการณ์การดูจิตเพื่อฝึกสติ18 หลวงพ่อสอนเรื่อง ความสำคัญของการแยกรูปแยกนาม


28-3-53

ดิฉันเพิ่งกลับจากไปเยี่ยมลูกที่สวนสันติธรรมค่ะ     ครั้งนี้เราออกเดินทางเช้าขึ้นเพราะกลัวไม่มีที่จอดรถ  โยมพ่อซื้อน้ำมัน น้ำยาล้างต่างๆ  ส่วนดิฉันซื้อยาNorflox และ Cloxa ให้วัดค่ะ      เนื่องจากเราทราบช้า ดิฉันไม่ได้เอายาจากคลินิก แต่ซื้อที่แมคโครและร้านยา  ที่ร้านยาดิฉันต่อราคาเพราะรู้ราคาทุน        เจ้าของร้านรำพันว่ากำไรน้อยดิฉันก็เลยแจ้งว่าเป็นหมอจะซื้อยาถวายวัด      ขอลดราคาหน่อย     สุดท้ายหลังจากคุยกันก็ทราบว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ  ราคายาก็ลดลงบ้างค่ะ 

 ดิฉันเริ่มรู้สึกท่านมีลูกศิษย์ที่ผ่านทางCDเยอะจริงๆ  

วันนี้ดิฉันแบกหนังสือ anatomy กายวิภาควิทยาของดิฉันเมื่อปี2510ที่ยืมจากรุ่นพี่และหนังสือของหมอปานที่ให้พี่ชายยืมและขอคืนเพื่อให้ครูบาป๋องนำไปใช้

หลวงพ่อเทศน์คล้ายเดิม      

แต่ที่จำได้ท่านเน้นเรื่องการหัดแยกรูปแยกนามให้ได้    ซึ่งเป็นบทเรียนแรกๆของการทำวิปัสสนา         ดิฉันไม่แน่ใจว่าตัวเองแยกได้หรือยัง      แต่เข้าข้างตัวเองว่าได้แล้ว 

  ก่อนถึงวัด ดิฉันคุยกับคุณชัยณงค์       ว่ามองเห็นว่าตัวเราไม่ใช่เราแต่เป็นรูปเป็นนามหรือเปล่า 

 เธอบอกว่ารู้ว่ามีรูปนาม     แต่ยังมองไม่เห็นด้วยตัวเอง

หล้งเทศน์เราคอยพบพระป๋อง       แต่ไม่ค่อยมีโอกาสคุยเพราะท่านคุยกับฝรั่งที่สนใจเรียนศาสนาพุทธให้ช่วยอ่านคำแปลหนังสือที่พระป๋อง และพี่ใบช่วยกันแปลคำสอนของหลวงพ่อค่ะ 

ดิฉันเจอฝรั่งชาวแคนาดา?? จบสาขาทางวิทยาศาสตร์  แต่สนใจมาเรียนพุทธศาสนาเป็นครั้งที่สองโดยเรียนที่มหาวิทยาลัยมหิดล??      ฝรั่งคนนี้คอยคุยกัยพระป๋อง   มาครั้งนี้ดิฉันเห็นพระป๋องเอาคำแปลให้ช่วยแปลและแนะนำ   โดยจะส่งมาให้ทาง e-mail ที่พี่ใบ    โยมพ่อคอยไม่ไหวก็ชวนดิฉับกลับก่อนเพราะวัดปิดประตู11โมงค่ะ

ก่อนกลับดิฉันแจ้งพระป๋องว่าซื้อยามาให้เกินที่กำหนดและน้องสาวแจ้งว่าหนังสือให้ยืมและขอคืนด้วย     ส่วนของดิฉันถวายเลย ไม่เอาคืน      ท่านยิ้มๆและเก็บไว้ทั้งสองเล่มและจะคืนให้ทีหลัง   คงนึกว่าน้องสาวก็หวงของเหมือนกันนะ     ดิฉันเลยไม่มีโอกาสซักว่าจะเอาไปใช้ทำอะไร   เข้าใจว่าคงใช้ดูร่างกายที่แยกเป็นส่วนๆ

หมายเลขบันทึก: 347767เขียนเมื่อ 28 มีนาคม 2010 17:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:40 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

สวัสดีครับ พี่หมออัจฉรา

         แวะมาทักทายครับ ขอบคุณมากครับที่ถามไถ่เรื่องสุขภาพ ตอนนี้ดีขึ้นแล้วครับ

         เรื่องพุทธศาสนานี่ ผมก็ได้แต่อ่านจากหนังสือ ยังไม่ (กล้า) ลองปฏิบัติ เพราะยังมีอคติบางอย่างเป็นมารขวางกั้นอยู่ครับ

         นำ Kawasaki Rose มาฝากด้วยครับ

                           ดอกกุหลาบคาวาซากิ (Kawasaki Rose)    

สวัสดีค่ะคุณหมอ

ตามอ่านบันทึกของคุณหมอค่ะ และพยายามจะเก็บไปฝึกปฎิบัติบ้างค่ะ

ยินดีกับคุณหมอที่มี ลูกชายเป็นพระ ผู้นำทางบุญให้โยมพ่อ โยมแม่ น่าชื่นชมครอบครัว

จริงๆค่ะ  ดิฉันก็มีลูกชาย สนใจธรรมะ มาก อาจจะมากกว่าแม่จนเขา สามารถแลกเปลี่ยนความเห้นเรื่องธรรมะกับแม่ได้

   และเขาก็ใช้ธรรมะในการดำรงชีวิต ทำให้ดิฉันเบาใจค่ะ ว่าหากมีความทุกข์หรือปํญหาใดๆ เขาก็รับได้ค่ะ  เขาปรารภว่าอยากบวช แต่ภาระที่เขาต้องรับผิดชอบในบริษัท ยังหนักอยู่

สวัสดีอาจารย์ชิวค่ะ

ดีใจที่เข้ามาทักทายพร้อมดอกไม้ค่ะที่สวยมากๆค่ะ

พี่สมาธิไม่ดีพับไม่ค่อยได้ค่ะ

การฝึกสติ พี่กำลังหัดทำเพื่อให้ทุกข์น้อยลงหลังจากมีสติเป็นระยะๆค่ะ ส่วนมากจะหลงค่ะ

อาจารย์ชิวยังไม่ลองเพราะยังไม่ศรัทธาก็เป็นปกติค่ะ

บางครั้งเรา ไม่รู้อะไรใช่อะไรไม่ใช่ ทำให้เรากลัวผิดทาง

เราอาจจะลองฝึกสติโดยรู้กายรู้ใจโดยไม่ยึดว่าเป็นพุทธก็ได้ค่ะ

ทดลองดูกายดูใจตัวเองโดยไม่เสียทรัพย์ เสียเวลา แต่อาจจะเข้าใจตัวเองมากขึ้นนะคะ จะเห็นตัวเองแปลกๆซึ่งไม่น่าเชื่อว่าเป็นเราค่ะ

สวัสดีครูเตือนค่ะ

ขอบคุณที่มาทักทายค่ะ ลูกหมออยากให้โยมแม่ฝึกสติ ทดลองทำดูก็รุ้สึกดีค่ะ

รู้สึกทุกข์จะน้อยลงค่ะ

ว่างๆจะไปเยี่ยมนะคะ

สาระสำคัญอาจอยู่ที่ การแยกกิเลส ออกจากจิต เพราะจิตได้เรียนรู้ ว่า ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่เป็นที่ร้ก ที่ยินดีจะไม่ก่อทุกข์ นั้นไม่มี แม้แต่ตัวจิตเอง หรือ สิ่งที่ เห็นด้วยตา ได้ฟังด้วยหู ได้ดมด้วยจมูก ได้ลิ้มด้วยลิ้น ได้สัมผัสด้วยกาย ได้นึกคิดด้วยใจ ยิ่งยินดีมาก ยิ่งหวงมาก ยิ่งทุกข์มาก มนุษย์ เป็นสัตว์ ที่มีกิเลสมาก พร้อมกับมี สติ ปัญญามาก ถ้า ละราคะ โทสะ และ โมหะ ได้ไม่ให้มีส่วนเหลือ และละความยินดีในโลก ได้ ย่อม ปรินิพพาน ลองจินตนาการดูว่า ถ้าเราเหลือ อยู่คนเดียวในโลก ไม่มีคนอื่นและสัตว์อื่นไม่มี อะไรเหลือเลย เรา เรา เรา ขอ โอกาส นะคร้บ เรา ครับ จะอยู่อย่างไร จิตทุกดวงได้ถูก program ไว้ครับ ต้องย้อนกระบวนการ เข้ามาที่ ตัวจิตครับ TIME=ธรรม เวลาย่อมกลืนกิน สรรพสัตว์ พร้อมทั้งตัวมันเอง ม่านอวิชชา ก็ เหมือนม่านเวลาครับ จิตที่ปราศจากกิเลส นั้นเราจะสัมผ้สเค้าได้ต้องใช้ความเพียรและเวลาครับ หัดฝืน ฝึก และฝนครับ จิตมีกำลังเมื่อไหร่ ก็จะเห็น ครับ สังเกตุ ง่าย ง่าย ตอนร่างกายเริ่มติ่น แล้ว จิตเริ่มทำงาน อย่าปล่อยให้คิด รีบทำความตื่นให้ได้ จะเรียนรู้ได้เร็วครับ หาไปเถิดครับ ไม่มีในที่อื่น ไม่มีในอะไรหรอกครับ ไม่มีอายตนะใดใด ครับย้อนกลับ มาดูกาย ดูใจ ครับ เวลา หมดไปทุกขณะ ครับ แล้วดึงกลับก็ไม่ได้ ลองเอากิเลสของเราออกบ้าง เดี๋ยวก็ ถึงความสิ้นทุกข์ ครับเราต้อง เพียรพยายามของเราเองครับ พระพุทธเจ้าท่านชี้ทางไว้แล้ว ใช้ความสังเกตุ ผ่านม่านเวลา ครับ ขอให้โชคดี และมีความสุข ตลอตกาลครับ

http://www.sompongindustrial.com/

ขอบคุณ อุบาสก สมพงค์ที่แนะนำ จะทดลองปฏิบัติดูตามคำแนะนำนะคะ

สาธุ สาธุ สาธุ ครับ

ขอบพระคุณสำหรับบันทึกธรรมนะครับ

เจริญในธรรมนะครับ...

ขอบคุณ คุณพรพลที่เข้ามาเยี่ยมค่ะ

ขอให้เจริญในธรรมเช่นกันนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท