หลังจากขึ้นเครื่อง เพื่อเดินทางต่อไปที่ Seattle พนักงานต้อนรับบนเครื่องนำอาหารมาบริการ หล่อนกล่าวว่า เหลือแต่เนื้อวัวนะ ผู้เขียนต่อรองว่า ฉันไม่กินเนื้อวัว หล่อนตอบแบบไม่ต้องคิดหาทางแก้ไขว่า ไก่มันหมดไปแล้วนี่ .....หากคุณไม่กินเนื้อก็เหลือทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ เหอะๆ United Airline! หนุ่มฝรั่งนั่งข้างเคียงจึงมีน้ำใจหยิบยื่นขนมปังแบ่งให้ แต่ผู้เขียนปฏิเสธิ เพราะคาร์โบไฮเดรตน่ะเพียงพอแล้ว ต้องการโปรตีนเสริมแค่นั้นเอง นึกขึ้นได้จึงยกเนื้อวัวให้บ้าง เขาก็ปฏิเสธิเช่นกัน
การเดินทางแต่ละครั้งมักจะได้เพื่อนข้างเคียงเป็นเพศตรงข้ามเสมอ ต้องดูบุคคลิกลักษณะ-ท่าทีก่อนที่จะพูด-คุยด้วย ช่วงบินจากสุวรรณภูมิ-นาริตะ นั่งใกล้หนุ่มขายตรงที่พาภรรยาและลูก ๒ คนไปเที่ยวฮาวายและขากลับจะแวะเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นด้วย เขาชวนพูด-คุยและเล่าให้ฟังว่าการไปครั้งนี้ได้รางวัลจากงาน Direct Sale นั่นเอง ผู้เขียนได้อธิบายเรื่องภารกิจและจุดมุ่งหมายของเอเอฟเอส และแนะนำไปว่าหากครอบครัวมีความพร้อมและอยากให้ลูกเก่งภาษาต้องส่งเสริมให้เขาได้มีประสบการณ์ตรงและใช้ในชีวิตจริง
นั่งหลับบนเครื่องไปหลายชั่วโมง ตื่นขึ้นมาท่ามกลางความสับสนกับเวลาที่แน่ชัด เพ่งสายตามองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อหาสัญญลักษณ์ที่แสดงเวลาว่าใกล้รุ่งเช้าหรือว่าจวนจะมืดค่ำกันแน่ แสงรำไรเริ่มฉายให้เห็นภาพที่มีการแบ่งเขตเสมือนครึ่งหนึ่งของภาคพื้นและขอบฟ้า แต่เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะมองในระดับสายตายามนั่งบนเครื่องกับความสูงประมาณ ๓ หมื่นกว่าฟุต การลอยลำอยู่เหนือเมฆเช่นนี้จะแบ่งดินแดนของพื้นดินกับขอบฟ้าได้อย่างไรกัน เป็นการจินตนาการที่สร้างภาพขึ้นมาผิดไปจากความเป็นจริงมากกว่า แวบแรกของความคิด คาดว่าเป็นเวลาใกล้ค่ำ การหลับไหลไปหลายชั่วโมงหลังอาหารเย็นใช่ว่าคุณจะต้องตื่นขึ้นมาพบกับแสงสว่างของยามอรุณรุ่งเสมอไป ขึ้นอยู่กับเส้นทางการบินว่าย้อนเวลาหรือก้าวล้ำเวลามากกว่า เมื่อแสงปรากฏมากขึ้น จึงมั่นใจว่าเป็นเวลาเช้านี่เอง
ไม่นานนักพนักงานต้อนรับสาวถือถาดอาหารเดินมุ่งไปยังชั้น First Class ผู้โดยสารระดับนี้จะได้รับอภิสิทธิ์ของการรับบริการก่อนใครเพื่อน พื้นที่ของเบาะกว้างขวางด้านหน้า สะดวกสบายคุ้มค่ากับการจ่ายมากกว่าถึง ๔ เท่าของชั้นประหยัด
นั่งละเลียดออมเล็ท ไส้กรอก และปลาบดพร้อมส่งสายตามองไปนอกหน้าต่างที่มองเห็นแต่ก้อนเมฆลอยละล่องเคลื่อนไปอย่างไร้ทิศทาง หลังการบริการอาหารไม่นาน นักบินก็นำเครื่องบินร่อนลงแตะพื้นสนามบิน Seattle ในเวลา ๘.๓๐ น ตามเวลาท้องถิ่น กว่าจะผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองและรับกระเป๋าเดินทางใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง นับว่าทำเวลาได้ดีมาก ก่อนหน้านี้ได้ข่าวว่า น้องอาร์มหนึ่งในคณะฯของทีม HOW Project เดินทางมาล่วงหน้าเพื่อเยี่ยมเยียนครอบครัวที่ Seattle ถูกประกบสัมภาษณ์แบบจับผิดเป็นพิเศษจากเจ้าหน้าที่หน่วยเหนือ เขาคงสุ่มเอาเองและเผอิญน้องเขาไม่ได้นำเอกสารอื่นๆที่แสดงว่าจะมาปฏิบัติภารกิจในการประชุมและ ร่วมกิจกรรม Community Visit ต้องเปิดเมล์ตรวจสอบย้อนไปให้เห็นว่ามีการติดต่อสื่อสารเรื่องการประชุมฯ กับทางอเมริกา จึงรอดพ้นผ่านไปได้ เพื่อป้องกันปัญหาสมาชิกที่เหลือจึงต้องเตรียมเอกสารมาแสดงให้เห็นเป็นประจักษ์ทั้งจดหมายรับเชิญที่รับรองจากสถานฑูตและเอกสารการประชุมอื่นๆ แต่ด้วยความเร่งรีบผู้เขียนจึงลืมนำเอกสารสำคัญเหล่านี้มาด้วย งานนี้ต้องใช้ความสามารถในการเอาตัวรอด แม้แต่เบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของผู้มารับยังไม่มีเลย ลุยลูกเดียว
น้องกลุ่มคนไทยประมาณ ๕ คนที่จะไปร่วมโครงการทำงานระหว่างเรียนช่วงSummer ที่ Alaska และมาต่อเครื่องที่ Seattle ถามเรื่องการกรอกแบบฟอร์มใบผ่านศุลกากร บอกไปว่าเขียน NO หมด…..มิเช่นนั้นคุณจะต้องถูกสัมภาษณ์อีกยาว แถมต้องเปิดกระเป๋าตรวจสอบ อ้อ…. การเดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ควรล็อกกระเป๋า เพราะเขาจะสุ่มเปิดกระเป๋าตรวจสอบ หากคุณล็อกกุญแจเขาก็จะระเบิดมันทิ้งอาจทำให้กระเป๋าพังได้
เจ้าหน้าที่ : คุณวางนิ้วมือทั้ง ๔ นิ้วบนเครื่องสแกนเลย
นึกแปลกใจปกติเขาจะให้สแกนเพียงนิ้วที่เราเคยสแกนในตอนสัมภาษณ์วีซ่าเข้าประเทศ ครั้งนี้มาแปลกแฮะ ต่อจากนั้นผู้เขียนก็มองไปที่กล้องโดยไม่รอให้เขาบอก จะได้ไม่เสียเวลา
เจ้าหน้าที่: คุณมาทำอะไรที่อเมริกา (คำถามยอดฮิตที่ใช้ถามทุกครั้ง)
ผู้เขียน : มาร่วมกิจกรรม Community Visit ที่นี่ ๓ วัน และจะไปประชุมเชิงปฏิบัติการของ โครงการ HOW Project ส่วนขององค์กร AFS ที่ Washington DC. อีก ๑ สัปดาห์ ฉันทำหนังสือคู่มือครอบครัวอุปถัมภ์ให้กับครอบครัวไทยที่จะรับเด็กอเมริกัน ร่วมกับทีมอเมริกันที่ต้องทำหนังสือคู่มือให้กับชาวอเมริกันที่จะรับอุปถัมภ์เด็กไทยน่ะ จึงต้องมีการประชุมร่วมกัน ครั้งที่แล้วคณะของทีมอเมริกันยังบินไปร่วมประชุมกับฉันที่ประเทศไทยเมื่อเดือนกรกฏาคมปี ๒๐๐๙ ว่าแต่ว่า คุณรู้จักองค์กรเอเอฟเอสไหม
เจ้าหน้าที่ : ไม่รู้จัก
ผู้เขียน : เอเอฟเอสเป็นองค์กร ที่ดำเนินภารกิจในการสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างมวลมนุษยชาติเพื่อสร้างสันติสุขให้กับโลก โดยไม่หวังผลทางด้านการค้าหรือยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ประเทศไทยดำเนินงานมา ๔๘ ปีแล้วนะ มีโครงการทั้งเด็กแลกเปลี่ยน/ ๑๘ ปีพลัส / Community Service / ครูผู้ช่วยสอนภาษา ฉันเป็นอาสาสมัครทำงานมานานหลายปีแล้ว
เจ้าหน้าที่ : คุณเข้ามาอเมริกาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
ผู้เขียน : ถ้าฉันจำไม่ผิดนะ น่าจะปี 2008
เจ้าหน้าที่ : คุณมาทำอะไรตอนนั้นน่ะ
ผู้เขียน : ก็มาปฏิบัติหน้าที่ Chaperone ที่ Los Angeles และฉันได้ไปเที่ยวอีก ๔ มลรัฐ ที่ Kansas/ Colorado / Nevada / Arizona
เจ้าหน้าที่ : คราวที่แล้ว คุณอยู่นานเท่าไหร่
ผู้เขียน : ๓ สัปดาห์เอง
เจ้าหน้าที่ : แล้วครั้งนี้คุณจะอยู่นานแค่ไหน และกลับเมื่อไหร่
ผู้เขียน : คงสัก ๕๔ วัน ฉันตั้งใจจะกลับวันที่ ๓ พฤษภาคม คือฉันเป็นครูน่ะ ตอนนี้เป็นวันหยุดยาวหน้าร้อนของโรงเรียนฉัน จึงตั้งใจว่าเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจด้านการประชุมฯ แล้วจะไปเยี่ยมครอบครัวอุปถัมภ์ที่มลรัฐ Maineสัก ๑๐ วันและจะไปเที่ยวที่มลรัฐอื่นๆ เช่น New York / Indiana / Arizona โอ๊ย ….อะไรประมาณนี้แหละ
เจ้าหน้าที่ : งั้นผมให้คุณอยู่ถึงเดือนมิถุนายน พอไหม
ผู้เขียน : เกินพอ ขอบคุณนะคะ
เพิ่งรู้ตัวว่า ตนเองจัดอยู่ในประเภทถามคำ- ตอบไป ๑๐ ประโยค ....นิสัยครูต้องมีการอธิบายและขยายความเพื่มเติม
ลากกระเป๋าผ่านด่านศุลกากร เขาถามว่า นำอาหารหรือผลไม้มาด้วยไหม ตอบว่าไม่ได้นำสิ่งใดๆ มาสักอย่าง เขากล่าวว่า แน่ใจเหรอ ตอบไปว่า Exactly SURE (ต่อให้นำมาด้วยก็ต้องตอบว่า NO) โถ..... แค่พาตัวเองมาขึ้นเครื่องทันก็บุญโขแล้ว ขนาดจะจองตั๋วรถทัวร์มาขึ้นเครื่องที่กรุงเทพฯ ยังไม่กล้าจอง รอเคลียร์งานจนเสร็จในเวลา ๑๓.๓๐ น จึงไปซื้อตั๋วได้ในเวลา ๑๖.๐๐ น เดินไปได้ระยะหนึ่งเขาให้นำกระเป๋าขึ้นสายพานเพื่อสแกนอีกรอบหนึ่งแล้วให้นั่งรถ Shuttle ไปรับที่อาคารอื่น ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องลากกระเป๋าไปไกล
ผู้เขียนเป็นคนแรกที่ถึงจุดหมายปลายทาง นอกนั้นต้องต่อไปอีกคนละ Flight – 2 Flights กว่าจะถึงที่หมายก็มืดค่ำ-ดึกดื่น
คุณพี่ต้อย : สงสัยเขารู้ว่าพี่จะรีบกลับ จึงส่งให้ไปไกลๆ แต่เธอจะอยู่เที่ยวต่อจึงจัดให้ใกล้ๆ ปีนี้หมอทำนายทายทักว่าดวงต่างประเทศพี่แรงมาก เดินทางมาเป็นวันแล้วยังไม่ถึงสักที เหลือตั๋วเครื่องบินที่ต้องใช้ไปต่อเครื่องอีกตั้ง ๒ ใบแน่ะ (ฮา…….)
พี่ติ๊ด: ดีจังเลยที่เธอถึงก่อนใคร
ผู้เขียน: ใครว่าเล่า ถึงก่อนก็ปฏิบัติหน้าที่ก่อนนะคะ พี่ไม่ดีใจเหรอ บินไกลๆ ได้สะสมไมล์เยอะกว่าใครเพื่อน
สวัสดีค่ะ
เพิ่งรู้ตัวว่า ตนเองจัดอยู่ในประเภทถามคำ- ตอบไป ๑๐ ประโยค ....นิสัยครูต้องมีการอธิบายและขยายความเพื่มเติม
เอามาฝากบ้างซิ
ติดตามอ่านบันทึกของคนไกลบ้าน
แต่ใกล้บ้านใหม่หรือเปล่าไมรู้
เดินทางไกลน่าดูเลยพี่ รออ่านต่อครับ ขอให้เดินทางให้สนุกนะครับ...
อาจาร์ธนิตย์คะ
* ขอบคุณนะคะที่มองเห็นประโยชน์จากการอ่านบันทึกของ Pually ค่อยๆเผยตัวตนที่แท้จริง Hu Hu Hu !
* เส้นทางนี้ยังต้องก้าวไปอีกยาวไกล....อย่าเพื่งถอดใจที่จะอ่านต่อนะคะ
* วันนี้ไปชม Museum เกี่ยวกับธรรมชาติ น่าจะเหมาะและเป็นประโยชน์กับอาจารย์ธนิตย์มากกว่าเนาะ แล้วจะโม้ให้ฟังภายหลัง
* ขอบคุณอาจาร์ธนิตย์ค่ะ
คุณสุเทพคะ
* สงสัยจะปรับตัวเข้ากับอากาศที่เดี๋ยวอุ่น-เดี๋ยวหนาวของเมือง Washigton DC. ไม่ค่อยได้.... ตาลายเรียงลำดับผิดไปได้ไงเนี่ย ต้องขออภัยมณี-ศรีสุวรรณ-สินสมุทร
* อ่านข้อความที่ว่า ใกล้บ้านใหม่.... แล้วชักแปลกใจ....มีข่าวดีจะบอกหรือเปล่าคะ Hu Hu Hu !
* ขอบคุณมากนะคะ.... ที่ติดตามอ่าน.... ยังมีอีกหลายตอนเลยค่ะ
* แว่บหนึ่งของความคิด พี่ Pually ว่าจะประกาศหาเพื่อนเที่ยวอยู่นะเนี่ยยยย แต่เกรงคนเขาคิดว่า ต้องการประกาศหาคู่..... เลยล้มเลิกความคิดนั้นไป ....Hu Hu HU ! การไปเที่ยวคนเดียวมันจะสนุกได้อย่างไรล่ะคะ ไม่มีคนพูด-คุย ด้วย ตื่นเต้น/ ประทับใจสิ่งใดก็ต้องแอบอุทาน/ รำพึง-รำพัน ในใจ ขืนกล่าวออกมาดังๆ เขาพาไป โรงพยาบาล ล่ะยุ่งเลย
* พี่ Pually มีประสบการณ์เรื่อกระเป๋าจะเม้าท์ต่อในตอนต่อ - ต่อ - ต่อ - ต่อไป ค่ะ
* จะยินดีมากๆ หากน้อง New ครูบันเทิงจะร่วม Join ด้วยใน Trip หน้านะคะ
* ขอบคุณค่ะ