นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ขณะนี้ กรมบัญชีกลางกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ได้ร่วมมือในการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ใช้สิทธิในระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการและผู้ที่เกี่ยวข้องที่ส่อไปในทางทุจริต โดยได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงวานนี้ (24 มี.ค.) หลังจากที่พบว่า ระบบการเบิกจ่ายตรงเป็นช่องโหว่ให้เกิดการทุจริตค่ารักษาพยาบาลในส่วนของค่ายาของผู้ใช้สิทธิดังกล่าวเป็นจำนวนมาก แต่เบื้องต้น ได้ตรวจพบข้าราชการบำนาญที่กระทำการส่อไปในทางทุจริตดังกล่าวจำนวน 8 ราย คิดเป็นเงินประมาณ 14 ล้านบาท
ทั้งนี้ อัตราค่ารักษาพยาบาลของผู้มีสิทธิสวัสดิการข้าราชการนั้น เพิ่มขึ้นทุกปี บางปีสูงถึง 25% โดยปี 2552 มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า 6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 11% จากปีก่อน ในจำนวนนี้ เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ป่วยนอกกว่า 4.5 หมื่นล้านบาท และในจำนวนนี้กว่า 80% หรือประมาณ 4 หมื่นล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับค่ายาเพียงอย่างเดียว ถือว่า เป็นตัวเลขที่สูงมาก แต่กรมบัญชีกลางไม่ทราบว่า เกิดจากการทุจริตค่ายาเป็นจำนวนเท่าใด ดังนั้น จึงขอให้ ป.ป.ท. ร่วมมือในการตรวจสอบ
"ความร่วมมือนี้ เป็นการส่งสัญญาณไปยังผู้ที่มีเจตนาที่จะทุจริตค่ารักษาพยาบาล ซึ่งผมยืนยันว่า มีการทุจริตจริง และเราจะดำเนินการตรวจสอบอย่างจริงจัง ส่วนความร่วมมือนี้ จะทำให้ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ลดลงเท่าใด ยังประเมินไม่ได้ แต่ขอให้รักษาระดับยอดค่าใช้จ่ายให้ไม่เกินปีที่แล้วก็พอ” เขากล่าวและเสริมว่า แม้ระบบการเบิกจ่ายตรงจะเป็นระบบที่ทำให้มีแรงจูงใจในการทุจริต แต่เราคงไม่ยกเลิกระบบนี้ เพราะถือว่าเป็นระบบที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้สิทธิ แต่ต้องเพิ่มระบบการตรวจสอบให้มากขึ้น โดยจะขอความร่วมมือไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล หรือ แพทย์"
สำหรับความร่วมมือของ 2 หน่วยงาน จะประกอบด้วย
1. กรมบัญชีกลาง อนุญาตให้สำนักงาน ป.ป.ท. เข้าดูหรือใช้ข้อมูลการเบิกจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาล เพื่อประโยชน์ในการติดตามธุรกรรมทางด้านการเงินที่อาจส่อไปในทางทุจริต และ/หรือส่งข้อมูลการเบิกจ่าย เงินค่ารักษาพยาบาลให้กับ ป.ป.ท. เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย
2. สำนักงาน ป.ป.ท. จะติดตามและตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ใช้สิทธิในระบบสวัสดิการรักษา พยาบาลข้าราชการและผู้ที่เกี่ยวข้องที่ส่อไปในทางทุจริต เก็บรวบรวมพยานหลักฐาน และวางแผนคดี เพื่อดำเนินคดีกับผู้ใช้สิทธิที่มีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตและเข้าข่ายการกระทำความผิดอาญา รวมทั้งดำเนินการตามบทบาทหน้าที่ของ ป.ป.ท. กรณี เข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2551
3. สำนักงาน ป.ป.ท. จะตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง จำนวนพัสดุยาที่มีปริมาณการจัดซื้อเป็นจำนวนมากอันมีลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับภาคเอกชน และดำเนินการตามพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2551
4. กรมบัญชีกลาง และสำนักงาน ป.ป.ท. จะดำเนินการร่วมกันจัดทำข้อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อกำหนดแนวทางป้องกันและปราบปรามการทุจริตในระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ เพื่อนำไปสู่การกำหนดนโยบายและมาตรการบังคับที่เป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ กรมบัญชีกลางจะได้เสนอมาตรการต่างๆ เพื่อควบคุมการเบิกจ่ายงบประมาณด้านการรักษาพยาบาลให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และ มุ่งเน้นการเสริมสร้างสุขภาพให้มากขึ้น เพื่อลดภาระงบประมาณและบุคลากรมีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรงมากยิ่งขึ้น โดยขณะนี้ กรมบัญชีกลางเตรียมศึกษาระบบการประกันสุขภาพของข้าราชการ ในหลักการคือ รัฐจะมีเงินอยู่จำนวนหนึ่งให้แก่ข้าราชการผู้มีสิทธิ หากใช้สิทธิไม่หมด ก็จะเหลือเป็นเงินออมให้แก่ข้าราชการ แต่หากข้าราชการใช้เกินกว่าวงเงิน ก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการศึกษาในรายละเอียด ทั้งนี้ ระบบดังกล่าวถูกนำมาใช้ในประเทศสิงคโปร์
"นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญมากกับระบบประกันสุขภาพข้าราชการ โดยสั่งการให้กรมบัญชีกลางเร่งศึกษาเร็วที่สุด เราก็จะหารือในกรอบเบื้องต้นกับผู้ที่ศึกษา คือ ทีดีอาร์ไอกับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข เพื่อสรุปให้นายกรัฐมนตรีรับทราบกรอบเบื้องต้นภายใน 30 วัน"
ไม่มีความเห็น