• ผมได้แรงกระตุ้นให้เขียนบันทึกนี้ จากการอ่าน นสพ. เดอะ เนชั่น วันที่ ๑๘ มิย. ๔๙ ชื่อคอลัมน์ Scientific advances promised personalised integrated healthcare เขียนโดย นพคุณ ลิมสมานพันธ์ ซึ่งอ่านรายละเอียดได้ที่นี่ (click)
• ผมมองว่าบทความนี้ได้รับอิทธิพลจากวาทกรรมของนักธุรกิจ และนักวิทยาศาสตร์ที่เน้นการประยุกต์เชิงธุรกิจมากไปหน่อย (เขาอ้างบริษัท โรช) ผู้เขียนไม่ได้มองจากมุมลึกๆ เชิงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ว&ท) ที่แท้จริง
• ในช่วง ๒ เดือนที่แล้วผมได้รับเชิญจากองค์การอนามัยโลกให้ช่วยเป็น reviewer หนังสือหรือข้อเขียนขององค์การอนามัยโลก ชื่อ The Ethical, Legal and Socio-Cultural Implications of Pharmacogenomics in Developing Countries (ใครอยากได้ต้นฉบับร่างขอจากผมได้) ทำให้ผมได้เข้าใจข้อจำกัดในเรื่องการใช้ประโยชน์ความก้าวหน้าทาง ว&ท ในประเทศกำลังพัฒนา ทำให้ได้คิดว่าวาทกรรมเรื่องคุณประโยชน์ของ ว&ท นี้ มันเป็นการเมืองว่าด้วยผลประโยชน์ และผู้มีอำนาจทางวาทกรรมคือผู้กุมความรู้ เขาจะปล่อยวาทกรรมที่ทำให้เขากุมอำนาจจากความรู้นั้นได้มากยิ่งขึ้น
• จริงๆ แล้วการใช้ประโยชน์ความก้าวหน้าทาง ว&ท ในประเทศกำลังพัฒนามีแง่มุมที่ต้องระมัดระวัง และคิดดำเนินการเชิงระบบ มากกว่าที่บริษัทยาบอกเราเยอะ โชคดีที่มี WHO คอยรวบรวมบอกเรา แต่คนที่จะเข้าถึงเอกสารของ WHO ก็มีจำกัด เข้าถึงแล้วก็ไม่เข้าใจลึกพอ เราจึงน่าจะมีกลไกบอกสาธารณชนในเรื่องลึกๆ เกี่ยวกับความก้าวหน้าด้าน ว&ท และต้องมีกลไกแปลออกเป็นการกระทำหรือกิจกรรม ที่จะทำให้สังคมของเราได้ประโยชน์ ไม่ถลำตามเขาไปจนติดกับดัก ตัวอย่างของการติดกับดักคือระบบขนส่งและคมนาคม ที่เราใช้ถนนเป็นหลัก เลิกใช้รางเป็นหลัก ยิ่งน้ำมันแพงยิ่งขึ้นเท่าไร เราจะเห็นหลุมพรางที่เราตกลงไปชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
• บทความนี้เน้น personalised healthcare ที่จะเป็นไปได้เนื่องจากความก้าวหน้าทาง genomics, pharmacogenomics, proteomics, molecular biology, etc. ทำให้สามารถพัฒนายาที่เหมาะกับคนเป็นรายคน ซึ่งในทางทฤษฎีเป็นไปได้ แต่ในทางปฏิบัติจะไม่จริง เพราะจะทำให้ค่าบริการแพงอย่างมาก ที่เป็นไปได้คือพัฒนายาให้เหมาะเป็นรายกลุ่ม ซึ่งในกรณีเช่นนั้นประเทศไทยเราโชคดีที่มีโครงการร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อนำไปสู่การพัฒนายาให้เหมาะสมต่อกลุ่มคนไทยอยู่บ้าง แม้จะยังไม่เพียงพอ
• ที่จริงบทความนี้ระบุเรื่องราวในแนว personalised healthcare ไว้อย่างสมดุลและครบถ้วนดีมาก แต่ในส่วน highlight เขาระบุความสำคัญเฉพาะ personalised medical care ซึ่งแคบกว่าเยอะ และชี้นำไปในทางเข้าใจผิดได้ง่าย ว่าข้อดีที่สุดของความก้าวหน้าของ ว&ท ต่อการดูแลสุขภาพคือทำให้ยาดีขึ้น จริงๆ แล้วยาจะดีขึ้นอย่างแน่นอน แต่นั่นไม่ใช่ส่วนสำคัญที่สุด ส่วนที่สำคัญที่สุดคือจะช่วยทำให้เราแต่ละคนรู้จักตัวเราเองได้ดีขึ้น รู้ว่าคนอื่นเขาปฏิบัติตัวบางแบบ (เช่นสูบบุหรี่) ได้โดยอันตรายไม่มากนัก แต่ถ้าเราริอ่านสูบเข้า มะเร็งจะถามหาในอัตราที่สูงกว่าไม่สูบบุหรี่นับร้อยเท่า ผมจึงมองว่าประโยชน์ที่เรียกว่า personalised healthcare เน้นที่ personalised selfcare มากกว่า เป็นจุดเน้นที่ได้ผลกว้างขวางกว่า และไม่เป็นภาระต่องบประมาณแผ่นดินของประเทศ ต่อกระเป๋าของเราแต่ละคน และต่อค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในภาพรวมของประเทศ
• ผมขอเสนอต่อ บวท. (บัณฑิตยสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย) และ มสช. (มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ) ให้หาทางจัดการประชุมทำความเข้าใจความก้าวหน้าของ ว&ท ในแง่มุมของจุดเน้นของการใช้ประโยชน์ในสังคมไทย ข้อพึงระวังเชิงนโยบายไม่ให้เราตกหลุมของดี จนกลายเป็นพันธนาการระยะยาวอย่างเทคโนโลยีขนส่งและคมนาคม
วิจารณ์ พานิช
๑๘ มิย. ๔๙
ไม่มีความเห็น