บันทึกนี้ขออนุญาตต่อยอดความคิดจากบันทึก ไม่ติดกรอบ ไม่ชอบมาตรฐาน รำคาญ Research Methodology ซึ่งมีรายละเอียดังต่อไปนี้...
การทำงานโดยไม่ยึดกรอบ ไม่ชอบมาตรฐาน และมีความรำคาญต่อ research methodology นั้น ไม่ใช่เราจะทำงานแบบมั่ว ๆ ทำไปเรื่อย ไม่มีกรอบ มีเกณฑ์อะไรเลย
เพียงแต่เราต้องการที่จะนำแว่นตาที่เรานำมาบังตาบ้าง กรองแสงบ้าง หรือปรับเปลี่ยนแสงที่จะมากระทบเราบ้างออกก็เท่านั้น
เอาออกทำไม...? เอาออกเพื่อให้เรามองว่าโลกที่แท้จริงนั้นเป็นสีอะไร...!
เพราะบางครั้งเราไปทำงาน เราใส่แว่นตาที่เรียกว่า Methodology จนหนาเต๊อะ ใส่ไว้จนตาของเรามองไม่เห็นสีสันที่เป็นจริงตามธรรมชาติ
บางคนก็ใส่รองเท้าที่มีพื้นยาง จนไม่สามารถสัมผัสได้ว่าดินที่เขาได้เหยียบลงไปนั้น "นุ่ม" ขนาดไหน
การมีกรอบ มีมาตรฐาน และติดกับระเบียบวิธีวิจัยมากเกินไป หลาย ๆ ครั้งทำให้เรามองคนไม่เป็นคน หลาย ๆ ครั้งที่เรามองคนเป็น "ตัวปัญหา"
ที่เรามองแบบนั้นก็เพราะว่าเรานำมาตรฐานของอีกซีกโลกหนึ่งมาวัดคนในซีกโลกนี้ มาวัดคนไทยที่ยืนอยู่บนผืนแผ่นดินนี้
ขอให้เราลองถอดแว่นออกสักหน่อย ถอดรองเท้าเดินกันบ้าง เลิกกางร่ม แล้วถอดเสื้อแขนยาว แล้วใช้อายตนะทั้ง 6 ให้ได้สัมผัสชีวิตที่แท้จริง
พึงรู้ในสิ่งที่เขารู้ พึงอย่าคิดว่าเขาไม่รู้ในสิ่งที่เรารู้
ความรู้จักการอ่าน การทดลอง การทำกิจกรรม ฤาจะสู้ความรู้ที่เขาต่อสู้ดิ้นรนมาด้วย "ชีวิต"
พึงอย่าทำชีวิตของคนหน้างานให้เป็นเพียงฐานของการทำผลงานทางวิชาการ
พึงทำตัวให้เนียนเข้าไปในชีวิตของคนหน้างานให้สมกับสมญานามของ R2R
การวิจัยที่เนียนเข้าไปเนื้องาน ผู้ทำ r2r เองก็ควรทำตัวเองให้เนียนเข้าไปในชีวิตของคนหน้างานนั้นด้วย
เขาทำงานอย่างไรก็พึงเดินเข้าไปแล้วทำให้เนียนได้อย่างนั้น
ย่องเข้าไปให้เหมือนแมว เนียนและ "เงียบ"
ถึงแม้นเขารู้ว่าเราอยู่แต่ไม่อยู่อย่างเป็น "ภาระ"
ถ้าเดิมเขาทำงานวันหนึ่งได้ 100 กิจ 100 อย่าง เมื่อเราเข้าไปแล้วก็พึงไม่ทำให้กิจทั้ง 100 อย่างของเขานั้นบกพร่องลง
ถ้าเนียนจริงต้องไม่ทิ้งร่อง ทิ้งรอย... รวดเร็ว ว่องไว อย่าให้เฉิ่ม
เพราะทุกวันที่เราเข้าไปเพื่อทำงาน ไม่ว่าจะเป็นนำพาให้เขาปรับกระบวนการจะต้องไม่มีช่องว่างของงานที่จะทำมาตรฐานแห่งการบริการนั้นลดลง
บางครั้งเราใช้เวลาและโอกาส ขอโทษ ขอโพย ขออภัยผู้ใช้บริการว่า ขณะนี้กำลังปรับปรุงคุณภาพ แล้วปล่อยความไม่มีคุณภาพนั้นส่งตรงถึงมือของ "ลูกค้า (Customers)" หลายครั้งชีวิตของลูกค้าต้องกลายมาเป็นกรณีศึกษา (Case study)
ชีวิตคือของจริง การทำงานหน้างานคือของจริง แล้วที่เราวิจัยในวันนี้คือของจริงหรือไม่...?
พยายามถอดแว่นตาเพื่อให้สายตามองโลกด้วยความเป็นจริง แล้วเราจะเห็นสิ่งที่สวยงามและสดใสด้วยตาและใจของเราเอง...
ได้แง่คิดมาก ๆ เลยครับ
ขอบคุณครับ
น้องในรูปน่ารักจังค่ะ ;-)
อ่านแล้วต้องคิดตามทุกบันทัด
แต่ได้ประโยชน์ค่ะ
ครั้นเมื่อเราได้อ่านแล้วต้องคิดบรรทัด ทุกย่างก้าวที่เข้าไปทำงานกับใครเราก็ต้องคิดให้รอบคอบทุกย่างก้าวเช่นเดียวกัน
เมื่อใดที่เราเข้าไปไม่ว่าที่ใด ย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างน้อยที่สุดการเปลี่ยนแปลงนั้นก็เกิดขึ้นเพราะเมื่อก่อนไม่มีเรา เดี๋ยวนี้มีเรา
"อยู่แล้วเป็นประโยชน์ก็อยู่ ไปแล้วเป็นประโยชน์ก็ไป"
เราต้องหมั่นบวก ลบ คูณ หาร ทุกย่างก้าวที่เราก้าวเดินไปไม่ว่าจะทำงานกับใครหรือแม้กระทั่งทำงานกับตัวเอง
มอบตัวเองให้เห็น อ่านตัวเองให้ออก ว่าวันนี้สิ่งที่เราจะไปหรือสิ่งที่เรากำลังจะไปกระทำนั้น "คุ้มค่า" กับการเปลี่ยนแปลงที่จะมีและดีขึ้นนั้นหรือไม่...?
ถ้ายังไม่ดีพอ ไม่คุ้มค่า ก็ขอให้ทุ่มเทเวลาพิจารณา วางแผน ไตร่ตรองให้มากขึ้นและมากขึ้น
การกระทำใด ๆ ที่กระทำลงไปแล้วย่อมเรียกคืนกลับมาให้เป็นดั่งเดิมไม่ได้
เมื่อใดที่จะกระทำ "กรรม" ใด ๆ ต้องมั่นใจเสมอว่าสิ่งที่ทำนั้นมีประโยชน์ ไม่เกิดโทษกับใครหรือแม้นแต่ตัวของเราเอง...