เฉียดตาย !!
มีใครเคยเจอประสบการณ์เฉียดตายมาแล้วบ้างไหมคะ?
สำหรับ จขบ.
เองเคยเจอมาแล้ว...เมื่อประมาณ 6 ปีก่อนค่ะ
เรื่องมีอยู่ว่า
ตอนนั้นไปไหว้เช็งเม้งกับครอบครัวค่ะ หลังจากไหว้เสร็จขับรถกลับบ้านมีกัน
3 คน ค่ะมี พ่อ, แม่, และตัวอรเอง พ่อเป็นคนขับรถค่ะ
ปกติพ่อไม่ชอบคาดเข็มขัดหรอกค่ะ แต่วันนั้นอร บอกไปว่าให้คาดเข็มขัดสิ
เดี๋ยวตำรวจจะจับเอา
ขับรถกลับบ้านระยะทางประมาณ 90 กม. ค่ะ
อรนั่งด้านหน้าคู่กับพ่อค่ะ ส่วนแม่นั่งอยู่ด้านหลังเป็นรถเก๋งค่ะ
เกือบจะถึงบ้านแล้วค่ะอีกแค่ 30 กม. มีรถกะบะออกมาจากข้างทางพุ่งออกมาตัดหน้าค่ะ
รถอรวิ่งมาด้วยความเร็ว 90-100 km/hr ชนเข้าอย่างจังค่ะ
ฝากระโปรงหน้ารถงอพับตั้งขึ้นมาเป็นสามเหลี่ยมทันทีค่ะ ควันขโมง
ถุงลมนิรภัยก็เด้งออกมาที่ด้านคนขับ (ตอนนั้นมีแค่ด้านคนขับค่ะ)
หันหลังไปดูแม่ แม่หล่นลงไปตรงที่วางขาค่ะ ลุกขึ้นมาอีกที
เลือดเต็มหน้า
แขนบวมเหมือนแขนจะหัก
ตาปิดไปข้างหนึ่งทันที โหนกแก้มก็แตก ส่วนพ่อรีบลงจากรถไปดูแม่ที่นั่งด้านหลังค่ะ
ด้านอรเอง
ประตูเปิดไม่ออกค่ะ สายเข็มขัดตอนแรกก็ถอดไม่ออกกว่าจะถอดออกจากล๊อคได้กดอยู่หลายรอบค่ะ
ตอนนั้นต้องรีบออกจากรถก่อนค่ะกลัวรถระเบิด (เหมือนในหนัง)
เพราะควันมันเยอะมาก พยายามใช้เท้ายันๆประตูออกแล้วรีบออกมาจากรถค่ะ
สรุปไปถึง รพ.
ทุกคนปลอดภัยดีบาดเจ็บเล็กน้อย
จะมีก็แต่คุณแม่ที่เจ็บมากกว่าคนอื่นเพราะไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยเลยหน้ากระแทกกับเหล็กที่เบาะรถ
ส่วนด้านคุณพ่อมีถุงลมไม่เป็นไรมาก
ตัวอรเองก็ถูกสายเข็มขัดนิรภัยบาดที่คอเป็นแผล
ตรงเอวก็โดนเข็มขัดรัดไว้ช้ำห้อเลือดแล้วก็จุกที่หน้าอกไปเป็นเดือนเลยค่ะ
ลองนึกภาพดูนะคะ ว่าวันนั้นถ้าไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยไว้
คนนั่งหน้า 2 คนนั้น อรกับพ่อ พอคงบาดเจ็บหนักแน่ๆ ด้านคุณพ่อยังมีถุงลมช่วย
แต่ด้านอรไม่มีและคิดว่าคงไม่รอดแล้วแน่ๆค่ะ อาจจะคอหักตาย
หรือพุ่งกระเด็นออกไปชนกระจกหน้ารถทะลุออกไปเลยก็ได้ เพราะว่าชนแรงจริงๆไม่มีเวลาได้เบรกเลย
สภาพรถคนที่ไปดูแล้วทุกคนคิดว่าพวกเราต้องเจ็บหนักแน่ๆ
(ทุกคนต่างบอกว่าที่รอดมาได้ก็บุญแล้ว)
เรื่องยาวไปหน่อย
เข้าประเด็นดีกว่าค่ะ ตอนนั้นรถคันนั้นทำประกันภัยชั้น 3 ไว้ค่ะ
คือถ้าชนเราต้องจ่ายค่าซ่อมรถเราเอง แต่สำหรับคู่กรณี
บ.ประกันภัยจะชดใช้ให้
แต่ด้วยความอับโชคของพวกเรา
รถยนต์คันที่ผิดที่ตัดหน้าเรา เป็นรถของชาวบ้านหาเช้ากินค่ำ
ไม่มีประกันใดๆเลยทะเบียนยังไม่มีเลยค่ะ
สรุปก็ไม่มีเงินจ่ายค่าเสียหายให้
ที่บ้านอรก็สงสารเขาจึงไม่ได้เอาเรื่องอะไร
สุดท้ายเราต้องมานั่งซ่อมรถเราเองค่ะ กรรมจริงๆค่ะ
หลังจากซ่อมรถเสร็จแม่ก็ทำประกันภัยชั้น 1
ไว้เลยค่ะแบบว่ากลัวเหตุการณ์ซ้ำลอย
เหมือนสำนวนไทยที่ว่า "ไม่เห็นโรงศพไม่หลั่งน้ำตา" และ
"วัวหายล้อมคอก"
ทุกวันนี้จะไปไหนต้องคาดเข็มขัดนิรภัยไว้ก่อนค่ะ ใครไม่เคยเจอกับตัวคงไม่รู้ซึ้งถึงคุณค่าของมันหรอกค่ะ
ตอนนี้เห็นความสำคัญของเข็มขัดนิรภัยจริงๆ
ไม่งั้นคงได้ไปเกิดใหม่แล้วค่ะ ไม่ได้มานั่งเขียน blog
แบบนี้แล้ว
ประกันภัยก่อนหน้านั้นแม่ไม่ยอมทำชั้น 1 เพราะค่าประกันภัยชั้น 1
มันแพง 4-5 หมื่นค่ะ แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์เฉียดตายแล้วรถทุกคันในบ้านทำประกันภัยชั้น
1 ไว้ค่ะ แบบว่าคิดว่ากันไว้ดีกว่าแก้ค่ะ
ดีกว่าแย่แล้วจะแก้ไม่ทัน
ลองดูคลิปนี้นะคะ ออกมานานแล้วแต่ ดูทีไรก็น้ำตาซึมค่ะ
"เวลา"
ทุกวันนี้
บ.ประกันภัยส่วนใหญ่จะออกโฆษณาแบบเล่าเรื่องให้เราคิดตามค่ะ
เป็น จิตวิทยาการขอ กับ Emotional design
(การออกแบบความรู้สึก) เช่น ป่วยเป็นมะเร็ง
โรคร้ายต่างๆกระทันหัน, หรือ อยู่ดีๆเกิดอุบัติเหตุอย่างไม่คาดคิด
เหมือนให้เรารู้สึกว่าชีวิตคนเราไม่แน่นอนค่ะ โดยเฉพาะเรื่องของ
อุบัติเหตุและโรคร้ายต่างๆ ที่ไม่สามารถคาดการณ์หรือควบคุมได้
ทำให้เราเกิดความหวาดกลัวและกังวล
จึงคิดว่าถ้าเรามีหลักประกันอะไรไว้ในชีวิตก็ยังดี
ดีกว่าสายเกินแก้นั่นเองค่ะ การทำประกันไว้ทำให้เกิดความรู้สึกอุ่นใจ,
สบายใจ, ไว้วางใจ หมดห่วง.....
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ
ขอบคุณ คลิปจาก
เมืองไทยประกันชีวิตด้วยค่ะ