ในกลอนไดอารี่ซึมซาบ จะพบอารมณ์ขันของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวหลายแห่ง เมื่ออ่านแล้วจะเห็นภาพที่ตลกจากการใช้คำและความของพระองค์ดังนี้
เมื่อเสด็จไปทอดกฐินที่วัดทอง พื้นที่มีน้ำท่วมขัง จึงทำให้ข้าราชบริพารต้องเตรียมการอย่างวุ่นวายจนเป็นภาพที่ดูตลกดังนี้
ลานอารามน้ำท่วมถึงคืบกว่า บันดาข้าทูลอองต้องขํนขวาย
หาทางดอนผ่อนผันกันวุ่นวาย บ้างสิ้นอายถอดถุงเท้าลงเก้าลุย
แต่ตำหรวดกับทหานพานขัดข้อง ด้วยว่าต้องแห่นำท่องน้ำฉุย
มหาดเล๊กมหาดล่อยพลอยตะกุย ดูรุ่กรุ่ยเต็มประดาน่ารำคาน
คุณสาหร่ายนายอะไรได้เป็นที่ เชิญพระพันนะสีตามที่ถาน
เดินชิดติดท้ายพระราดทะยาน ปาติหานลงในหลุมชุ่มทั้งตัว
เมื่อเสด็จไปทอดพระเนตรคณะละครสัตว์ มีสัตว์หลายประเภทที่ดุร้าย ทรงบรรยายภาพว่าถ้าหลุดออกมาจากกรงจะน่าหวาดเสียวอย่างไร ซึ่งจากการใช้ภาษาของพระองค์ทำให้กลายเป็นเรื่องตลกมากกว่าความหวาดเสียว ดังนี้
กรํงถัดไปในนั้นเขาใส่หมี โตเตมที่สูงเยี่ยมเทียมค่าหัว
เลกลงไปในนั้นอีกสองตัว หลุดมาแล้วไม่ชั่วหนังหัวเปิง
ตอนที่มีการแสดงของคณะละครสัตว์ทรงบรรยายภาพว่ามีเด็กออกมาขี่ม้า และทำท่าทางตลก ๆ แต่กลับไม่ตกจากหลังม้าเลย จึงเป็นเรื่องที่น่าแปลก โดยทรงแสดงความคิดเห็นดังนี้
หมํดชุดนี้มีเดกมาขี่ม้า แล้วทำท่าต่างต่างอย่างขันขัน
ตีนมันเหนียวเกินไปสงไสยครัน ฤๅหนึ่งมันจะใช้อะไรทา
ทรงกล่าวถึงการเต้นรำตามแบบต่างประเทศว่าไม่เหมาะกับคนไทย ดังนี้
เวลาค่ำซ้ำไปบ้านเจ้าคุนพาด เลยรำท้าวตามชาตเขาเข้าคู่
หันเหียนเวียนกันไปคล้ายพะบู๊ น่าเวียนหัวเวียนหูเล่นสับประดํน
ปะเปนไทยเราเอาไปเล่นเช่นนั้น ได้หัวแตกหัวลั่นกันปี้ป่น
จะเปนลํมล้มพับถึงอับจน สิ้นนุสนตามวันนี้มีเรื่องราว
จากตัวอย่างที่ยกขึ้นมาทั้งหมด คงเพียงพอที่จะสนับสนุนได้ว่ากลอนไดอารี่ซึมซาบนั้นมีคุณค่าถึงสามด้าน คือ ประการที่หนึ่ง คือ สะท้อนภาพเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิต ราชประเพณีที่มีการบันทึกอย่างจริงจัง ประการที่สอง สะท้อนการใช้ภาษาที่ไม่ถูกต้องและไม่ควรใช้ และประการสุดท้ายกลอนไดอารี่ซึมซาบเล่มนี้ได้ส่งอิทธิพลต่องานวรรณกรรมในรูปแบบล้อเลียนต่อ ๆ มา อาทิ วงศ์เทวราช ไผ่ตัน ฉันจึงมาหาความหงอย ทำให้งานวรรณกรรมแบบล้อเลียนฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง นับจากที่พระมหามนตรี (ทรัพย์) ได้แต่งบทละครเรื่องระเด่นลันไดเพื่อเป็นการยั่วล้อมาแล้ว ดังนั้นพระราชนิพนธ์ไดอารี่ซึมซาบจึงเป็นสิ่งที่สะท้อนพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอย่างแท้จริง โดยมีความงามของเรื่องและรูปแบบ ไม่แพ้งานวรรณคดีชิ้นเอกเรื่องอื่น ๆ ของพระองค์เลย
สภา, 2533.
ประติทินบัตร แล จดหมายเหตุ เล่ม 1 เดือน ตุลาคม-มีนาคม ขาดเดือน มกราคม. กรุงเทพฯ : ต้นฉบับ, 2540.
พรทิพย์ วัฒนสุวกุล. พระราชกรณียกิจอย่างสังเขป. พระนคร : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, 2533.
ส. พลายน้อย. กระบวนพยุหยาตราทางชลมารค. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, 2530.
แสงสูรย์ ลดาวัลย์, ม.ร.ว. พระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมัยกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ : ม.ป.ท, 2527.
สุนทรี อาสะไวย์และคณะ. กระบวนพยุหยาตราชลมารค. กรุงเทพฯ : สถาบันไทยคดีศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2542.
รัชกาลที่ ๕ ทรงพระอารมณ์แจ่มใสดีจังเลย อย่างนี้ถึงได้บริหารประเทศไปได้ฉิว
ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ดีมากๆนะคะ