อวิชชาสมัยก่อนส่วนใหญ่เกิดจากไม่มีความรู้ ไม่มีการศึกษา หรือเข้าไม่ถึงความรู้ เพราะสมัยก่อนมีเฉพาะคนส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้เรียนสูง ส่วนใหญ่ไม่ได้เรียน
แต่อวิชชาสมัยปัจจุบัน ที่ป็นยุคข้อมูลข่าวสาร หรือยุคที่ความรู้มีอยู่ทั่วไป เข้าถึงได้ง่าย และมีอยู่มากมาย อวิชชากลับมีลักษณะตรงกันข้าม คือเกิดจากความรู้มีมากเกินไป จนสับสน ไม่รู้ว่าอันไหนเป็นความรู้จริง อันไหนเป็นความรู้ปลอม คนที่หลงยึดมั่นถือมั่นความรู้ปลอมถือว่าเป็นอวิชชา
ยุ่งยากยิ่งขึ้นไปอีก คนที่มีความรู้ที่ถูกต้อง เป็นวิชชา เมื่อเวลาผ่านไปกลับกลายเป็นอวิชชาไปโดยไม่รู้ตัว เพราะชุดความรู้ที่เคยยึดถือ และเป็นความรู้ที่ถูกต้อง กลับกลายเป็นความรู้ที่ผิดเสียแล้ว แบบนี้อาจเรียกว่า “อวิชชาเพราะตกยุค”
จะไม่ตกอยู่ในสภาพอวิชชาเพราะตกยุค คนเราต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา และต้องลับสมองและจิตใจให้เป็นคนตื่นตัวเรียนรู้เป็นวิถีชีวิต ที่เรียกว่าเป็น learning person
แปลกแต่จริง learning person ต้องมีทักษะพิเศษ ที่เรียกว่า de-learning คือทักษะในการไม่ยึดมั่นถือมั่นกับความรู้ชุดเดิม ไม่กอดความรู้หรือกระบวนทัศน์เก่าที่ล้าหลังแล้ว ต้องปลดปล่อยตนเองออกจากกระบวนทัศน์เก่าได้ไม่ยาก และรับกระบวนทัศน์ใหม่หรือความรู้ใหม่ได้
อวิชชาตัวจริงในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่ไม่มีความรู้ แต่มีความรู้มากจนยึดมั่นถื่อมั่น ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง
แต่นั่นยังไม่ใช่สุดยอดอวิชชา สุดยอดอวิชชาคือคนที่รู้มากแต่ตีความผิด เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นผิดเป็นถูก เห็นชั่วเป็นดี ในยุคนี้เราเห็นตัวอย่างนักการเมืองที่สุดแสนจะเป็นคนสมองดี หรือฉลาด แต่เป็นอวิชชา เพราะเห็นผิดเป็นถูก เราเห็นอยู่ว่าบ้านเมืองที่มีคนเช่นนี้มีอำนาจตกอยู่ในความยากลำบากอย่างไร
นี่คือผลของสุดยอดอวิชชา – อวิชชาเพราะเห็นแก่ตัวสุดขีด
เพราะเขาเอาความรู้อีกชุดหนึ่งเข้าไปเป็นพื้นฐานหรือตัวตั้ง คือความรู้ชุดเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ความเชื่อชุดที่ว่าหากไม่ผิดกฎหมายย่อมทำได้ แม้แต่ออกกฎหมายเพื่อผลประโยชน์ของตนก็ทำได้ เพราะตนมีอำนาจอยู่ในมือ แต่ด้วยสภาพของยุคข้อมูลข่าวสารล้นหลามและซับซ้อน ผู้คนจำนวนมากไม่สามารถจับได้ไล่ทัน
สุดยอดของอวิชชา คือคนชั่ว
วิจารณ์ พานิช
๘ ก.พ. ๕๓
ไม่มีความเห็น