แง่มุมต่างๆ ของชีวิตพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เราได้มีโอกาสสัมผัส ในช่วงเวลานี้ที่ถูกนำมารวมกันถ่ายทอดให้ประชาชนได้เรียนรู้ ด้วยความคิดคำนึงที่หลากหลาย
สำหรับฉันเอง ในช่วงเวลาของการแสวงหาสมดุลให้ชีวิตเช่นนี้ ชีวิตของพระองค์ท่านนั้นเป็นดังคัมภีร์แห่งการใช้ชีวิต ที่ฉันใฝ่ฝัน และถูกสอนสั่งมาตั้งแต่เด็ก
รักผู้อื่นเหมือนรักตัวเอง
ก้าวแรกที่ฉันเริ่มต้นชีวิตการทำงาน “เพื่อสังคม” ... เพื่อคนชายขอบที่ไร้สิทธิ และถูดลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นคน ... ฉันจึงทุ่มเทความรู้ความสามารถ เรี่ยวแรงกำลัง เวลา ทุกสิ่งทุกอย่าง พยายาม “อุทิศชีวิต” เพื่อ “รักผู้อื่น” ตามคำสอนที่ฉันยึดถือจนหลายครั้งที่แม้ฉันทำงานอยู่ที่บ้านทั้งวัน แต่แม่ก็ไม่รู้ เพราะฉันมัวแต่ขลุกทำงานอยู่แต่ในห้อง เป็นอย่างนั้นอยู่ ๔ -๕ ปี ที่ฉันเข้าใจว่า ยิ่งฉันทุ่มเทมากเท่าไร ก็จะสามารถช่วยบรรเทาความทุกข์ยากเดือดร้อนในชีวิตของพวกเขาและเธอได้มากเท่านั้น หลายคราที่ความเครียดจากการทำงาน ทำให้ถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาล
จริงอยู่ว่า มีผลงานภายนอกบางอย่างเกิดขึ้นจากความทุ่มเทของฉันและใครอีกหลายคนในช่วงที่ผ่านมา แต่ที่สำคัญกว่านั้น มีผลงานภายในที่ไม่ค่อยมีใครรู้ ได้เกิดขึ้นกับฉันพร้อม ๆ กัน
ความรัก ที่ลดน้อยลงต่อผู้อื่น อันสะท้อนให้เห็นจากความอดทน และความเอื้ออาทรต่อผู้อื่น ที่ลดน้อยลง รวมถึงความสุขกับชีวิตและงานที่เคยมีในช่วงแรก ก็เลือนลางไปมาก
... ฉันเริ่มตระหนัก ณ นาทีนั้น ว่าฉันกำลังหลงทาง ...
เมื่อ ๒ สัปดาห์ก่อน ฉันได้มีโอกาสพาพ่อแม่ไปชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ที่เมืองทองธานี (แม้ตอนแรกฉันจะลังเลอยู่ เพราะกังวลกับการประชุมที่ปรึกษาโครงการวิจัยฯ ในวันรุ่งขึ้น) แต่การเลือกให้เวลากับครอบครัวในครั้งนี้ ทำให้ฉันได้เรียนรู้ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ของนักจัดสรรเวลาที่ยอดเยี่ยมอย่างพระองค์ท่าน
เพราะนอกจากพระราชกรณียกิจมากมายเพื่อคนไทยทั้งแผ่นดินแล้ว พระองค์ยังทรงแบ่งเวลาสำหรับครอบครัวและมิตรสหาย ที่สำคัญ พระองค์ยังทรงให้เวลาฝึกฝนพระอัจฉริยภาพอันหลากหลายของพระองค์จนเชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็นด้านจิตรกรรม การดนตรี พระราชนิพนธ์ การกีฬา หรืองานช่าง เป็นต้น จนฉันแอบคิดในใจว่าพระองค์มีเวลาวันละมากกว่า ๒๔ ชั่วโมงหรือเปล่านะ?แน่นอนว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มุ่งมั่น แน่วแน่เช่นนี้ได้ ก็เป็นผลมาจากที่พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับสิ่งสูงสุด อันเป็นมิติด้านจิตวิญญาณที่ช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจ
ชีวิตของพระองค์ จึงเป็นภาพสะท้อนความสมดุลของความรักทั้ง ๓ ส่วน คือ รักในสิ่งสูงสุด คือยึดมั่นในศาสนา รักผู้อื่น คือครอบครัวอันรวมถึงประชาชนของพระองค์ และสุดท้ายรักตัวเอง อันได้แก่ การหมั่นฝึกฝนเพื่อพัฒนาศักยภาพที่มีในตัวให้ปรากฏแจ้ง ซึ่งทั้ง ๓ ส่วนนี้เป็นหนึ่งเดียวและเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
ลงสำรวจชุมชนใต้ในงานวิจัยคราวนี้ ฉันอาจจะคว้าสีน้ำกับพู่กัน ที่วางทิ้งไว้กว่า ๑๐ ปี กลับมาปัดฝุ่นพาลงใต้ด้วยคงดี !!
แล้วอย่าเหนื่อยที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
อุ้ย เข้าผิดบล๊อก ขอโทษครับ ผมหนีภัยเหลืองมา ไปก่อนดีกว่า ช่วงนี้เป็นโรคแพ้สีเหลืองอะครับ ไว้ว่าง ๆ จะชวนคุยสนุก ๆ ดีกว่า
อิอิอิ