ผมขอเล่าถึงวิวัฒนาการกฏหมายการศึกษาในยุคถัดมายุคที่ 2 ต่อจากยุคโบราณ คือ
ยุคปฏิรูปการศึกษา เริ่มตั้งแต่สมัย ร.5 จนถึง พ.ศ. 2475 ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ
สมัยรัชกาลที่ 5(พ.ศ.2411-2453) เป็นสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงการศึกษาอย่างมาก จนกล่าวกันว่า เป็นสมัยปฏิรูปการศึกษา เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมเปลี่ยนไป ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความจำเป็นที่ต้องติดต่อกับชาวต่างประเทศมีมากขึ้น การจัดการศึกษาก็ต้องตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว การจัดการศึกษามีระบบและระเบียบมากขึ้น ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการปฏิรูปการศึกษาในสมัยนั้นคือการคุกคามของจักรวรรดินิยมตะวันตก อิทธิพลของตะวันตก เช่น การสอนศาสนา การจัดตั้งโรงเรียน การออกหนังสือพิมพ์ การรักษาโรคโดยใช้วิชาการแพทย์สมัยใหม่ การศึกษาในระบบโรงเรียน ตามที่ ร.5 ได้ทรงศึกษาและทอดพระเนตรมาจากต่างประเทศ และอิทธิพลจากความขาดแคลนบุคคลที่มีความรู้เพื่อมารับราชการ
คำว่าโรงเรียน มีวิวัฒนาการมาจาก โรงทาน ในสมัย ร.2 เพื่อบำเพ็ญพระราชกุศลในเวลาเช้า และในสมัย ร.3 ใช้โรงทานสำหรับสอนหนังสือบุตรหลานข้าราชการในตอนบ่าย สมัย ร.4 เปลี่ยนคำว่าโรงทาน เป็นโรงสอน สมัย ร.5 เรียกโรงเรียน(โรงทาน-โรงสอน-โรงเรียน)
ในสมัย ร.5 ทรงวางรากฐานการจัดการศึกษาอย่างเป็นแบบแผน ด้วยการจัดตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง โรงเรียนหลวงโรงเรียนแรกของทวยราษฎร์ตามพระบรมราชโองการของ ร.5 คือ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม มีการตั้งโรงเรียนสำหรับทวยราษฎร์ขึ้นตามวัดพระอารามหลวงทุกๆพระอาราม มีการตั้งหน่วยงานเพื่อรับผิดชอบในการจัดการโรงเรียนคือ กรมศึกษาธิการ ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นกรมธรรมการ และกระทรวงธรรมการตามลำดับ ขณะเดียวกันก็ได้จัดตั้งโรงเรียนมูลศึกษามีฐานะเป็นโรงเรียนหลวง และอนุญาตให้ราษฎรจัดตั้งโรงเรียนมูลศึกษาโดยเรียกว่าโรงเรียนเชลยศักดิ์ มีฐานะเป็นโรงเรียนราษฎร์ นอกจากนี้ยังได้มีการจัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อผลิตบุคคลออกมาเป็นครูสอนหนังสือในโรงเรียน รวมทั้งได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติการสอบวิชา พุทธศักราช 2433 เป็นครั้งแรก โดยกำหนดให้มีการสอบวิชาในภาษาไทยเป็น 3 ประโยค คือ ประโยค 1-3 การสอบความรู้ภาษาอังกฤษเป็น 6 ชั้น และได้กำหนดให้มีโครงการศึกษา พ.ศ.2441 ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อกำหนดแบบแผนการจัดการศึกษาของไทยขึ้น อันนับได้ว่าการจัดการศึกษาของไทยเริ่มมีการจัดระบบการศึกษา หลักสูตร ชั้นเรียน และระยะเวลาที่แน่นอน โดยมีโครงการศึกษาดังกล่าวเป็นแม่บทหลักในการจัดการศึกษาของประเทศ และเป็นต้นเค้าของโครงการศึกษาและแผนการศึกษาแห่งชาติในสมัยต่อๆมา
การปฏิรูปการศึกษาในสมัย ร.5 มีลักษณะสำคัญดังนี้
1.ทรงให้จัดการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาตามผลการศึกษา เปรียบเทียบจากต่างประเทศ โดยให้มีการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปตามกำลังงบประมาณและคนที่มีอยู่
2.การปรับเปลี่ยนยึดหลักการที่แน่นอนมั่นคง 3 ประการ คือ
2.1 ถือว่าโรงเรียนเป็นหลักของการจัดการศึกษา
2.2 จัดระบบและกระบวนการสนับสนุนโรงเรียนให้รัดกุม
2.3 เมื่อระบบและกระบวนการที่สนับสนุนโรงเรียนมั่นคงแล้ว จึงพิจารณาโครงสร้างในการกำกับและเอื้ออำนวยทั้งระบบและกระบวนการ เพื่อให้โรงเรียนเป็นไปตามพระราชประสงค์
3.ครูและนักเรียนได้รับความเกื้อกูลเป็นพิเศษจากผู้รับผิดชอบที่ทรงมอบหมายตามระบบและกระบวนการที่มีองค์กรจากโครงสร้างที่ทรงพระราชทานไว้เป็นผู้ดูแล
กล่าวโดยสรุป ทรงถือว่า โรงเรียนเป็นหัวใจของการปฏิรูป ส่วนระบบหรือกระบวนการและการจัดโครงสร้างกำกับสนับสนุนโรงเรียนเป็นอันดับรองลงมา หัวใจอยู่ที่โรงเรียน คือ ครูกับนักเรียน ส่วนโครงสร้างคือ กรมและกระทรวง อันมีหน้าที่กำกับระบบและกระบวนการให้โรงเรียนมีประสิทธิภาพ เป็นอันดับรองลงมา
สมัยรัชกาลที่ 6(พ.ศ.2453-2468) ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ พ.ศ.2461 ขึ้น เพื่อบังคับให้โรงเรียนราษฎร์ทุกแห่งต้องจดทะเบียนและปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนที่กระทรวงศึกษาธิการวางไว้ ได้ยกฐานะโรงเรียนข้าราชการพลเรือนเป็นมหาวิทยาลัย เรียกว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใน พ.ศ.2459 ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2464 เพื่อให้การจัดการศึกษาขยายกว้างออกไปสู่ทวยราษฎร์ และเพื่อบังคับให้เด็กทุกคนที่มีอายุในวัยเล่าเรียน คือ ตั้งแต่ 7 ปีบริบูรณ์ ต้องเข้าเรียนอยู่ในโรงเรียนจนอายุ 14 ปีบริบูรณ์ รวมทั้งจัดให้มีการเก็บเงินศึกษา
เพื่อนำเงินมาใช้จัดการศึกษา เรียกว่า เงินศึกษาพลี
สมัยรัชกาลที่ 7 จนถึงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง(พ.ศ.2468-2475) ได้มีการยกเลิกการเก็บเงินศึกษาพลีตามพระราชบัญญัติประถมศึกษา ในพ.ศ.2473 มีการขยายการฝึกหัดครูออกเป็นการฝึกหัดครูประถมและการฝึกหัดครูมัธยม
(อ่านยุคที่ 3 กับยุคที่ 4 ตอนต่อๆไปนะครับ)
สวัสดีค่ะอาจารย์
ตอนนี้ร่าง พรบ.3 ฉบับ ได้ผ่าน ครม.เพื่อเข้าสู่สภาในสมัยประชุมนี้แล้ว คือ 1.ร่างพรบ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.....ซึ่งปรับแก้ให้มีเขตพื้นที่การศึกษาประถม และมัธยม แยกจากกัน 2.ร่างพรบ.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ... ปรับโครงสร้าง ศธ.ให้เป็นไปตามร่าง พรบ.ข้อที่ 1 และ 3.ร่างพรบ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ....ปรับเรื่อง ผู้แทนใน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ให้มีฝ่ายประถมและมัธยม ตามร่าง พรบ.ข้อ 1 นี่คือความคืบหน้าในการปรับแก้ พรบ.เท่าที่ผมได้ทราบความก้าวหน้ามาครับ