มีคนบอกว่าปัญหาเรื่องการปฏิรูปการศึกษาตั้งแต่ พ.ศ.2542 จนมาถึงทุกวันนี้ ต้นตอจริงๆของปัญหาคือประเด็นในข้อกฏหมาย ไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน
ในฐานะที่อยู่ในวงการศึกษา พอมีเวลาว่างผมก็เลยทุ่มเทอ่านกฏหมายการศึกษาหลายๆฉบับอย่างคนที่ไม่ไม่ได้เรียนทางกฏหมาย พยายามจับต้นชนปลายสรุปมาบ้าง วิเคราะห์เองบ้าง ผิดถูกอย่างไรก็ช่วยเสนอแนะด้วย เผื่อผมจะได้แตกฉานมากขึ้น
ก็อยากจะเริ่มตั้งแต่แนวคิดและวิวัฒนาการเฉพาะเรื่องกฏหมายการศึกษา (ที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหารการศึกษา)
แนวคิดเรื่องกฏหมายการศึกษา
1.กฏหมายเป็นกฏเกณฑ์ข้อบังคับความประพฤติของมนุษย์ มีวิวัฒนาการมาเป็นเวลานาน มีศักดิ์และลำดับชั้นที่ต่างกัน และมีบทลงโทษสำหรับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตาม
2.กฏหมายเป็นเรื่องที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะผู้บริหารการศึกษาย่อมต้องใช้กฏหมายเป็นเครื่องมือในการบริหารการศึกษาด้วย
3.ผู้บริหารการศึกษาที่เก่งและมีประสิทธิภาพทางการบริหารสูง จะสามารถเลือกใช้กฏหมายได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ไม่นำเอากฏหมายเป็นปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงาน แต่ไม่ปฏิบัติผิดกฏหมาย รวมทั้งในบางโอกาสอาจขอความช่วยเหลือทางด้านการพิจารณาใช้กฏหมายจากผู้รู้หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เป็นอย่างดีด้วย
วิวัฒนาการของกฏหมายการศึกษา
กฏหมายการศึกษาของประเทศไทยสามารถแบ่งกล่าวได้เป็น 4 ยุค คือ
1.ยุคโบราณศึกษา คือสมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี รัตนโกสินทร์ตอนต้น(ร.1-ร.4)
สมัยกรุงสุโขทัย การศึกษาแผนโบราณของไทยเริ่มขึ้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหง ทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อ พ.ศ 1826 ดังปรากฏในศิลาจารึก ตามความเห็นของนักนิติศาสตร์เห็นว่าข้อความบางตอนเป็นกฏหมาย และเรียกกันว่ากฏหมายสี่บท บทที่ 1 เป็นบทมรดก บทที่ 2 เป็นบทที่ดิน บทที่ 3 เป็นบทวิธีพิจารณา และบทที่ 4 เป็นบทลักษณะฎีกา อาจกล่าวได้ว่าในสมัยสุโขทัยมีกฏหมายการจัดการศึกษาทั้งที่เป็นจารีตประเพณีและลายลักษณ์อักษร คือหลักศิลาจารึก
สมัยกรุงศรีอยุธยา ส่วนใหญ่ก็คล้ายกับสมัยกรุงสุโขทัย ระบบการจัดการศึกษาจึงเป็นแบบจารีตนิยมอยู่เช่นเดิม ยังไม่มีระบบที่แน่นอน แล้วแต่พระราชดำริของพระมหากษัตริย์ว่าจะสมควรอย่างไร ซึ่งพอกล่าวได้ว่านโยบายการจัดการศึกษาก็ดี จุดประสงค์ของการจัดการศึกษาก็ดี รวมทั้งการใช้หนังสือจินดามณีเป็นแบบเรียน เป็นกฏหมายเกี่ยวกับการศึกษา
สมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น(ร.1-ร.4) การศึกษายังคงเป็นแบบโบราณศึกษา วิธีการจัดการศึกษาไม่แตกต่างไปจากสมัยกรุงศรีอยุธยา ต่างกันที่การศึกษาได้เริ่มเจริญขึ้นเป็นลำดับ เช่น สมัย ร.1 ได้มีการสังคายนาพระไตรปิฎก เพื่อใช้เป็นหลักในการศึกษาพระปริยัติธรรม และรวบรวมกฏหมายต่างๆ เรียกว่า กฏหมายตราสามดวง สมัย ร.2 ได้มีการสร้างโรงทานเป็นที่สำหรับเจ้าพนักงานจัดอาหารเลี้ยงพระสงฆ์ สามเณร และเป็นที่แสดงธรรมเทศนาและสอนหนังสือวิชาการต่างๆ สมัย ร.3 ได้พยายามเผยแพร่การศึกษาให้แก่ประชาชนและทรงเอาพระทัยใส่ในการศึกษาเล่าเรียนทั้งทางโลกและทางธรรม มีการซ่อมแซมวัดอันเป็นสถานศึกษาเล่าเรียน เริ่มมีการเรียนภาษาอังกฤษและวิชาการต่างๆจากหมอสอนศาสนา สมัย ร.4 เริ่มตื่นตัวเกี่ยวกับการศึกษาแบบยุโรป เพราะอารยธรรมตะวันตกได้แพร่เข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้น แต่การศึกษายังคงจำกัดวงอยู่เฉพาะที่ เช่นการสอนภาษาอังกฤษก็ยังสอนกันอยู่ในวงศ์สกุล จ้างครูพิเศษมาสอน การสอนภาษาไทยนั้นพวกเจ้านายก็เรียนกับเจ้านายข้างในที่เป็นผู้ใหญ่ ราษฎรชั้นสามัญก็เรียนอยู่ตามวัด สำหรับแบบเรียนมีอยู่ 5 เล่มด้วยกันคือ ประถม ก กา ประถมมาลา สุบินทกุมาร ประถมจินดามณี เล่ม1 และประถมจินดามณี เล่ม2 มีวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม(วัดโพธิ์) เปรียบเสมือนมหาวิทยาลัยแห่งแรก ด้านการศึกษาของสตรีนอกจากจะศึกษาเล่าเรียนการบ้านการเรือน เย็บปักถักร้อยแล้ว ยังเริ่มมีการศึกษาวิชาสามัญอีกด้วย โดยเฉพาะภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แต่ยังคงเป็นแบบโบราณศึกษา คือเป็นการศึกษาที่วัดและไม่เป็นทางการ
กล่าวโดยสรุป การจัดการศึกษายุคโบราณศึกษา มีลักษณะที่เด่นชัด ดังนี้
1.รัฐมิได้จัดการศึกษาโดยตรง ไม่มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อจัดการศึกษา ไม่มีแนวนโยบายการศึกษาที่ชัดเจน ไม่มีองค์กรของรัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดการศึกษา
2. การจัดการศึกษาเป็นเรื่องของเอกชนหรือประชาชนพลเมือง ไม่เกี่ยวกับรัฐโดยตรง เช่น การศึกษาภายในวัด มีพระสงฆ์เป็นผู้สอน ส่วนการศึกษาในวัง มีนักปราชญ์ราชบัณฑิตเป็นครูสอน
3.ไม่มีกฏหมายข้อบังคับใดๆที่ใช้ในการจัดการศึกษา การศึกษาที่ดำเนินอยู่เป็นไปตามความต้องการและความจำเป็นของบุคคลแต่ละหมู่เหล่า สุดแต่ใครจะเห็นความสำคัญ
บันทึกเรื่องต่อไปผมจะเล่าต่ออีก 3 ยุคครับ...
ครับ อยากทราบว่าอีก 10 ปีข้างหน้าการศึกษาไทยจะเป็นอย่างไรครับ อาจารย์
ที่ถามเพราะอยากทราบจริงๆ ไม่มีเจตนาอื่นแต่อย่างใด
เสียงจากครูครับ "ปัจจุบันการให้การศึกษาที่มีคุณภาพแก่นักเรียน ให้ความรู้ทั้งวิชาสามัญและวิชาชีพตามหลักสูตรที่ถูกกำหนด ตามสภาพปัจจุบัน สภาวะโลก การเมืองการปกครอง ที่สำคัญแนวการจัดการศึกษาก็จะมาจากรัฐธรรมนูญ แต่ในฐานะครูก็เชื่อว่า ครูเป็นผู้มีบทบาทสำคัญไม่ว่าจะจัดการสอนโดยวิธีใด ครูต้องมีการวางแผนและเตรียมการสอนเป็นอย่างดี ไม่ละทิ้งเด็ก และมีการจัดกิจกรรมเสริม เพื่อให้เด็กเข้าใจในบทเรียนยิ่งขึ้น นอกจากการสอนวิชาความรู้แล้ว ครูยังมีบทบาทในการสอนให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์ รู้จักคิดเป็น แก้ปัญหาเป็น สอนให้มีความรู้คู่คุณธรรม เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมปัจจุบันได้อย่างเหมาะสม และมีความสุขตามควรแก่อัตภาพ "
ผมจะเล่าเพื่อแลกเปลี่ยนไปเรื่อยๆนะครับ ...ถูกแล้วครับครูเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งเป็นการปฏิรูปที่สถานศึกษา แต่พอไปให้ความสำคัญกับการปฏิรูปที่โครงสร้าง 10 ปีที่ผ่านมาก็เป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ ตอนนี้ก็คิดจะกลับตัวใหม่ แต่ก็ยังมีคนวกเข้าเรื่องโครงสร้างอีก (ตัวเองจะได้อะไร มากกว่าเด็กจะได้อะไร) อยากให้ลองดูการปฏิรูปในสมัย ร.5 เป็นบทเรียน
สวัสดีค่ะอาจารย์
ไปอ่านบันทึกของครูคิมแล้ว ชื่นใจที่เห็นโรงเรียนดีบนดอยครับ