Netbook Saleman และเทคนิคการขอที่พนักงานขายพึงมี


Appreciative Inquiry : เทคนิคการขอที่พนังงานขายพึงมี

อากาศวันนี้ช่างหนาวเย็นเหลือเกินครับ... หนาวจนรู้สึกว่าไม่อยากจะไปไหน

แต่ดันมีโทรศัพท์เจ้ากรรม โทรมาปลุกผมแต่วันเลย เรียกให้ไปประชุมที่คณะ

ความฝันที่จะได้นอนคลุมโปง แซบๆของผมก็เป็นอันจบสิ้นไป T_T

การประชุมก็เป็นไปด้วยบรรยากาศสบายๆครับ ท่านคณะบดีฯ  ใจดีมาก

ประชุมเสร็จพวกผมก็ออกมานั่งคุยกันต่อกับเพื่อนๆที่ร้าน "กลิ่น" เหมือนเดิม

ร้านนี้แปลกดีครับ ไปนั่งทีไรรู้สึกสบายใจ และผ่อนคลายซะทุกครั้ง



หลายท่านคงสงสัยว่า แล้วที่พูดมามันเกี่ยวอะไรกับการขอเนี่ย... ??

คำตอบก็คือ.... ไม่เกี่ยวครับ (แฮะๆ) เพราะเรื่องราวหลังจากนี้ตังหากที่เกี่ยว( นิดส์นึง )... ตามผมมาครับ

หลังจากนั่งชิวกันที่ร้านกาแฟเสร็จ แป้ง ( แป้งเป็นเพื่อนผมครับ ) ก็ได้ชวนผมให้เป็นเพื่อนไปดู Netbook ที่ตึกคอมหน่อย

เพราะเธอกะจะถอยสักเครื่องให้ผมไปช่วยดูให้หน่อยว่าอันไหนดี... ผมก็ไม่ปฏิเสธครับ ไหนๆก็ว่างอยู่แล้ว

เพื่อนขอความช่วยเหลือทำไมจะไม่ไปละครับ แถมยังได้ไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกด้วย



เราก็เดินดูอยู่หลายร้านครับ กะว่าจะดู เพื่อเปรียบเทียบรุ่นและราคา แต่ที่ไหนได้ครับ ทั้งตึกคอมมี Netbook

อยู่ 4 ยี่ห้อคือ Acer, Asus, Samsung, Sony เท่านี้จริงๆครับ เล่นเอาผมปวดหัวเลย

กะว่าจะไปดู Dell สักหน่อย ไม่มีซะงั้น... ทีนี้ก็มาถามความต้องการของแป้งครับ แป้งบอกผมว่า "Acer กับ Sony

ไม่เอานะแก" ทีนี้ก็เหลือแค่ 2 ยี่ห้อแล้ว... ผมเลยพาแป้งเดินไปหาร้านที่มี Asus ขายซึ่งมีอยู่ร้านเดียว ร้านนั้นชื่อ JNet ครับ

ตอนแรกที่เห็นผมก็ไม่ได้สนใจอะไร กะว่าจะเดินไปดู SPEC และเดินออก ทีนี้มีพนักงานขายคนหนึ่งเดินเข้ามาครับ

เขาบอกผมว่า "สอบถามได้นะครับ" ตาม Step ของพนักงานขายทั่วไป ผมเลยถามว่า "ASUS มีรุ่นเดียวเหรอครับ"

น้องเขาตอบ
"เหลือรุ่นเดียวแล้วครับพี่ ASUS ผลิต Netbook ออกมาน้อยครับ"



ผมกับแป้งคุยอยู่กับน้องพนักงานขายคนนี้นานมากๆ ในบทสทนาก็ไม่ได้มีประโยค หรือ Key Word

เด่นอะไรเพื่อดึงดูดใจ แต่... ทำไมยิ่งคุยผมยิ่งรู้สึกว่าอยากควักกระเป๋าซื้อสินค้าของร้านนี้เหลือเกิน

(แต่สุดท้ายก็ยังไม่ซื้อครับ เพราะแป้งขอเวลาตัดสินใจสักคืน) ระหว่างทางกลับ ม. ผมได้ถามแป้งครับว่า "แป้งแกรู้สึกไหม

ว่าอยากซื้อของกับร้านนี้" แป้งตอบ "ใช่ๆ แกฉันก็รู้สึกเหมือนกัน นี้ถ้าไม่ติดว่าฉันอยากคิดอีกสักคืน ฉันซื้อไปแล้วนะนั้น"

ผมถามต่อ "แกว่าเพราะอะไรวะ" แป้งตอบ "พนักงานขายไงแก น้องเขาคุยดีอะ รู้สึกสบายใจไม่กดดันยังไงไม่รู้ เหมือนคุยกับเพื่อน

ดูไม่หยิ่งเหมือนร้านอื่นๆ และก็สนใจเราดีด้วย แถมเขายังบอกข้อมูลได้ชัดเจน มีการเปรียบเทียบว่ารุ่นไหนดีไม่ดียังไง

ถามอะไรก็บอกหมด ประมาณว่ารู้จริง น้ำเสียงที่พูดก็ดูจริงใจดี เหมือนเขาอยากจะมอบสิ่งดีๆให้เราจริงๆ"



ตัดมาที่จุดนี้ครับ... เราได้อะไรกับเคสนี้บ้าง มาดูกันครับ ^^

จะเห็นได้ว่าสินค้าที่แป้งจะไปซื้อคือ Netbook ซึ่งถือเป็นสินค้าเทคนิคที่มีราคาสูง

สินค้าประเภทนี้จะขายได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับพนักงานขายโดยตรงครับ เพราะลูกค้ามักจะต้องการข้อมูลเกี่ยวกับตัวสินค้า

และคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ในการประกอบการตัดสินใจ แต่สิ่งที่ร้านนี้ทำให้ผมกับแป้งรู้สึกอยากจะซื้อสินค้าของเขาคือ

ความเป็นกันเองของคนขาย บุคคลิกท่าทางที่สุภาพ พร้อมด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร ไม่หยิ่งผยอง

และตั้งใจให้ข้อมูลเหมือนกับเราเป็นคนสำคัญ แถมยังไม่รู้สึกกดดันเหมือนกับคุยกันพนังงานขายร้านอื่น

ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ เขาแสดงออกมาได้อย่างจริงใจครับ ยอมรับเลยครับว่าเป็นครั้งแรกเลยที่ผมรู้สึกดีกับพนักงานขายมากขนาดนี้


การขอในเคสนี้ แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่พนักงานขายควรจะมี(โดยเฉพาะพนักงานขายสินค้าเทคนิค) คือ

 "มีความรู้ จริงใจ เป็นกันเอง"

มีความรู้ - เกียวกับสินค้าที่ตัวเองขายเป็นอย่างดี

จริงใจ - ในการดูแลเอาใจใส่ลูกค้า แนะนำสิ่งดีๆให้ และแสดงออกให้เห็นว่าลูกค้าเป็นคนสำคัญ

เป็นกันเอง - กับลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าไม่รู้สึกกดดันในการที่จะถามข้อมูล

3 สิ่งนี้ผมขอเรียกว่า "เทคนิคการขอที่พนักงานขายพึงมี" ก็แล้วกันครับ ผมเชื่อเหลือเกินว่า ถ้าพนักงานขายมีคุณสมบัติต่างๆเหล่านี้

อย่างสมดุล น่าจะทำให้ทุกท่านมีความรู้สึกอยากที่จะควักกระเป๋าซื้อสินค้าของทางร้านมากขึ้นแน่นอนครับ ^^

 



แล้วคุณละคิดยังไง

หมายเลขบันทึก: 328999เขียนเมื่อ 18 มกราคม 2010 19:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:15 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (14)

มีความรู้ จริงใจ เป็นกันเอง"

  มาแชร์ด้วยครับ   เรื่อง เสื้อผ้า

  *  คนขายบางยี่ห้อ  เขาถือว่าของเขาเสื้อยี่ห้อดัง   ผมแต่งตัวไปง่ายๆ  เขาไม่ยี่หระ  ไม่สนใจในตัวผมเลยครับ  ประมาณว่า "ไม่ง้อ"  หากซื้อจริง ผมคงต้อง "ง้อคนขาย" ประมาณนั้น

   *  คนขายเสื้อบางยี่ห้อ  มีความรู้ จริงใจ เป็นกันเอง   แม้เฉยๆ แต่ก็เต็มใจซื้อ เพราะเขาเห็นความสำคัญของเราครับ

             ขอบคุณจิตวิทยาการขอครับ

ขอบคุณอาจารย์ Small Man ครับ

เป็นอะไรที่เห็นได้บ่อยๆเลยครับ เจ้าของธุรกิจว่างๆลองสังเกตุพนักงานขายของท่านดู

อาจจะเจอจุดเปลี่ยนทางธุรกิจเลยก็เป็นได้นะครับ

อาจารย์เชื่อไหมครับ... ว่าผมเคยคิดว่า ผมจะใส่เสื้อกล่ามห่านคู่ กางเกงขาสามส่วนเก่าๆโทรมๆ เดินเข้าไปในร้าน Brand ดังๆดู

อยากรู้เหมือนกันว่าจะเป็นยังไง แต่ผมว่ายามเขาคงไม่ให้ผมเข้าตั้งแต่แรกแล้วละครับ 555+

ขอบคุณประสบการณ์ที่นำมาแชร์ครับ... เป็นประโยชน์อย่างมากเลย ^^

สวัสดีค่ะ

*** แวะมาอ่านบันทึกน่ารักของคนรุ่นใหม่ ...เพลินดีค่ะ

สวัสดีครับ เอิร์ท เล่าเรื่องสนุกนะครับเนี่ย เป็นธรรมชาติ

พนักงานแบบนี้ถือว่าเป็นสมบัติขององค์กรเลยหละครับ เพราะไม่ใช่ทุกคนจะเป็นได้

เคยมีบทความของ อ.โย (อาจจะเคยอ่านแล้ว) ถามเจ้าของกิจการว่า พนักงานที่ก้าวเข้ามาเป็นคนที่คุณไว้ใจเนี่ย สิบวันแรกเค้าต่างจากคนอื่นยังไง (ประมาณนั้นนะครับไม่เป๊ะมาก) แล้วก็เอาตรงนั้นมาใช้เป็นเกณฑ์รับพนักงานครับ อ่านเคสนี้แล้วเลยนึกถึง

แต่ที่ยังไม่ซื้อก็ดีแล้วครับผมว่า เราซื้อแล้วสิ่งที่อยู่กับเราคือสินค้าครับ แล้วก็ศูนย์บริการของยี่ห้อนั้นๆ เราเจอคนขายแค่ตอนซื้อเท่านั้น ถ้าเรารู้สึกดีตอนซื้อแล้วเอาของมาแล้วไม่แฮบปี้กับมัน อันนี้เราจะหงุดหงิดไปอีกนานเลยครับ ยอมอารมเสียตอนซื้อดีกว่า(ความเห็นส่วนตัวผมนะ) เพราะที่บ้าน คนเลือกซื้อรถคือแม่ผม ส่วนผมเป็นคนบำรุงรักษาครับ แม่เจอเซลดีคุยถูกใจก็ซื้อมา (ไม่ซื้อโตโยต้าเด็ดขาดเพราะเซลพูดไม่ดีด้วย เกลียดไปตลอกชีวิต) ส่วนผมเวลาเอารถไปเข้าศูนย์ถ้าเจอศูนย์ดีก็ดีครับ ถ้าไม่ดีก็เซง แต่ส่วนมากที่ไปหนะ หงุดหงิดครับ (ก็รู้ๆ อยู่ว่าโตโยต้าเค้าศูนย์เยอะ แล้วเพื่อนที่ใช้ก็บอกบริการดีด้วย แต่ผมคงไม่มีโอกาสได้ใช้หรอกครับ กำ!) เห็นมั้ยครับว่าเราอารมณ์ดีตอนซื้อแต่เราต้องมาทนตอบใช้ครับ (แอบบ่นเรื่องส่วนตัว ฮ่าๆๆ)

ส่วนโน๊ตบุ๊กครับ ความเห็นส่วนตัวอีกเช่นกัน ผมใช้ Dell แล้วไม่ผิดหวังเลยครับ Dell ไม่มีศูนย์แต่มีประกันแบบซ้อมถึงบ้านครับ (แล้วแต่จะซื้อ 1-3 ปีครับ) เท่าที่ฟังคนอื่นมาก็ไม่มีปัญหานะครับ โทรวันนี้พรุ่งนี้มาซ่อมให้ถึงบ้าน หรือจะนัดที่มหาวิทยาลัยก็ได้ครับ ถ้าลองว่าอยากได้ Dell แล้วก็ไม่ีอะไรมาแทนได้ครับ ลองตรองดูนะครับ

รู้สึกจะบ่นยาวเลย เหอๆๆๆ

สวัสดีครับท่านเอิร์ท

วันใดไม่อ่านบทความของท่านผมคงนอนไม่หลับแน่ อิ.อิ.

ผมไม่อิจฉาหากเจ้าของร้าน JNet จะรวย (ขอแต่อย่ารวยแล้วเลิก ฮา..)

ผมชื่นชอบร้านแบบนี้ครับ เขาทำให้เงินเรามีค่าครับ

ที่เรียนการขายมา เขาคงจำได้ว่าลูกค้าคือพระเจ้า

อย่างนี้แถวบ้านเรียกว่า ขายใจแถมสินค้าครับ

ขอขอบพระคุณที่แบ่งปันครับ ไปนอนละนะพรุ่งนี้มีงานเช้า

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นครับ

@คุณกิติยา เตชะวรรณวุฒิ >>> ขอบคุณมากครับ ดีใจมากมายที่เข้ามาอ่าน ^^

@พี่เทพดรุณ >>> ไม่เป็นไรครับพี่ ดีออกได้แชร์ประสบการณ์กัน ที่จริงผมตั้งใจจะไปดู Dell เลยนะ แต่ Netbook มันไม่มีจริงๆ เสียดายมากมายครับ ปล.พี่ก็ถอยโตโยต้าเองเลย แหกกฏสวรรค์ไงครับ จาได้ลองใช้บริการศุนย์โตโยต้าที่เค้าล่ำลือกัน ^^

@ท่านชาวฝนแปดแดดสี่ >>> เหอๆ อ่านอคมเม้นท่านแล้วผมอดยิ้มไม่ได้เลย ขอบคุณที่ติดตามครับ รู้สึกดีจริงๆที่มีคนชอบงานของผมเนี่ย พรุ่งนี้ก็ขอให้งานราบรื่นนะครับท่าน ^^

และก็ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาครับ สามารถติ ชม หรือแชร์ประสบการณ์ได้เต็มที่เลยนะครับ

Blog แห่งนี้จะได้ดูอบอุ่มมากขึ้นไปอีกครับ ^^

ไม่ใช่แต่เจ้าแป้งหรอกค่ะ เป็นใครๆก็ชอบแบบนี้

ทำให้มีความเสี่ยงต่อการควักกระเป๋าซื้อในตอนนั้นสูงมากเลยค่ะ

ทำให้เห็นว่าการเลือกพนักงานนั้นต้องคำนึงถึงองค์ประกอบเหล่านี้เพิ่มด้วยค่ะ

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆที่นำมาแบ่งปันนะคะ

ตามมาขอบคุณที่แวะมาตอบค่ะ

ขอเอี่ยวด้วยคนสิคะ

ชอบที่ไพรัชต์เขียนมาเหมือนกันนะ

จำวิชา MKT ได้รึเปล่า สามเหลี่ยม Trilogy น่ะ

หมายถึงมองมิติการให้บริการด้วย

ธุรกิจบริการเป็นอะไรที่มากกว่าการผลิต

และการซื้อมาขายไป เพราะต้องเน้นกับความรู้สึกของคนมากๆ เลย

ยอดสามเหลี่ยมคือ เจ้าของธุรกิจ

ฝั่งปลายซ้ายของสามเหลี่ยมคือลูกจ้าง (employee)

ฝั่งขวาคือ ลูกค้า (customer) บางครั้งหากเจ้าของธุรกิจที่ไม่สามารถควบคุม

การให้บริการได้อย่างครอบคลุม ลูกจ้างนั้น มีบทบาทโดยตรงกับลูกค้า

หากลูกค้าไม่พอใจและไม่ซื้อสินค้า ไม่ใช่ว่า สินค้าไม่ดีเสมอไป

แต่การให้บริการอาจไม่เป็นที่ประทับใจก็ได้ ให้ระวังมิตินี้ด้วยจ้า

ขอขอบคุณ

jw

มาเรียนรู้เทคนิคการขอ...ด้วยค่ะ

เผื่อได้ขอสำเร็จแบบน้องคนขายบ้างเนอะ....

ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาครับ

@คุณCharmmy >>> ใช้แล้วครับ... สำหรับร้านค้าต่างๆที่ต้องใช้พนักงานขาย ต้องคำนึกถึงคุณสมบัติพวกนี้มากๆเลยละ ^^

@คุณberger0123 >>> ขอบคุณมากครับ ^^

@อาจารย์โย >>> ขอบคุณมากครับอาจารย์ มีกำลังใจขึ้นเยอะเลย

@พี่แจ๋วแหวว >>> ขอบคุณครับพี่แจ๋วแหวว ที่แชร์ความรู้เพิ่มเติมให้ครับ

@คุณชาดา ~natadee >>> ขอบคุณครับ.... ลองติดตามอ่านต่อไปครับ Blog นี้ผมได้ทำการร่วมประสบการณ์ต่างๆที่เกี่ยวกับการขอที่ใช้แล้วเวิร์ค ไว้มากมานหลายเคสครับ อัพเดทเป็นประจำทุกวันครับ ขอบคุณที่แวะมาครับผม

ขอบคุณทุกท่านครับ

คำติ ชม คอมเม้นต่างๆพวกนี้ ร่วมถึงการประสบการณ์ด้วย

เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผมครับ แถมยังทำให้มีกำลังใจในการเขียนต่อไปด้วย

ขอบคุณมากครับจากใจจริง ^^

เป็นเหมือนกันนะ เวลาเจอพนักงานพูดดีๆก็อยากจะซื้อกับเค้าถึงแม้ว่าราคาอาจจะแพงกว่าร้านอื่นนิดหน่อยก็ซื้อนะ กลับกันถ้าเจอพนักกงานพูดจาไม่ดีเนี่ย ถึงจะขายถูกกว่าก็ไม่คิดอยากจะซื้อด้วยเลยเสียดายเงิน

ผมก็เจอบ้างบางครั้งที่พนักงานเอาใจใส่อย่างนี้ แต่ส่วนใหญ่เจอแต่แบบไม่ค่อยจะสนใจ อาจจะเป็นที่เพราะผมแต่งตัวเซอร์ๆก็ได้ แล้วดูของแต่ละอย่าง เช่น กล้อง เครื่องเสียง อย่างนี้ อุปกรณ์แต่งรถยนต์อย่างนี้ ก็เลยไม่ค่อยได้ใส่ใจเท่าไร พอบอกว่าซื้อกล้องรุ่นนี้ หลังจากนั้นล่ะพนักงานแนะนำวิธีการใช้งานอย่างดีเลย ก็แปลกดีเหมือนกัน เอาใจใส่อย่างดี สงสัยกลัวผมจะเปลี่ยนใจไม่ซื้อล่ะ 5 5 5

ขอบคุณความรู้ครับ ตอนนี้ไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการ ถ้าเป็นเจ้าของกิจการจะได้นำไปใช้งานล่ะครับ แต่ผมว่าทุกคนเสมอกันหมด..

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท