มุสลิมคือคนดี
คำพูดตามหัวข้อที่ผมตั้งนี้ บางคนอาจจะแปลกใจ ทำไมไปตีความเอาง่ายๆ อย่างนั้น เพราะบางคนนั้นเขาว่าเป็นมุสลิมแต่การกระทำของเขารับไม่ได้เลย แล้วจะนับว่าเขาเป็นคนดีได้อย่างไร
มุสลิมเป็นคนดีนี้ ไม่ใช่ผมอาจหาญให้คำจำกัดความเช่นนี แต่ผมไปตีความจากความหมายง่ายในอัลกุรอานที่ว่า
"พวกเจ้า(มุสลิม)คือประชาชาติที่ดียิ่ง พวกเจ้าถูกสั่งให้ออกหามวลมนุษย์
สั่งสอนในสิ่งที่ชอบและห้ามปรามในสิ่งไม่ชอบ และศรัทธาในอัลลอฮฺ"
(อัลกุรอาน : อาลิ-อิมรอน 110)
อายัตหรือโองการอัลกุรอนโองการนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า มุสลิมนั้นเป็นกลุ่มประชาชาติที่ดี (خير الأمة) และทีดีเพราะภาระของของมุสลิมคือ เชิญชวนให้มวลมนุษย์กระทำดีและเชิญชวนให้พวกเขาละทิ้งความชั่ว ท่านอิมามอิบนุกะษีรฺกล่าวในตัฟซีรฺของท่านว่า ประชาชาติที่ดีในที่นี้หมายถึงเป็นมนุษย์ที่ให้ประโยชนแก่มนุษย์ด้วยกัน(خير الأمم وانفع الناس للناس) และสุดท้ายสุดของโองการนี้ คือ ที่ว่าดีนั้นเพราะศรัทธามั่นในอัลลอฮฺด้วย
มุสลิมทุกคน จะเป็นคนดีจริงหรือ ?
มุสลิมเมื่อคลอดออกมาแล้ว เติบใหญ่ ก็จะเป็นคนดี กระนั้นหรือ ?
แค่พ่อแม่เขาเป็นมุสลิม เขาก็จะเป็นคนดีหรือ ?
เมื่อทะเบียนบ้านของเขาตีตราว่าเป็นมุสลิม(นับถือศาสนาอิสลาม) เขาจะเป็นคนดีใช่ไหม ?
ทั้งหมดทีกล่าวมานี้ยังประกันไม่ได้ว่า เขาคนนั้นเป็นคนดี เพราะคนดีต้องพิสูจน์ที่การกระทำ ทำในสิ่งที่ชอบ ตามความต้องการของสังคม
คนที่นับถือศาสนาอิสลามแล้ว ถ้าจะเป็นคนดี ก็ต้องทำตามที่สังคมต้องการ และสิ่งที่สังคมต้องการนั้นต้องการันตีด้วยว่าดีจริงๆ ไม่ใช่ว่าสังคมของพวกเขาว่าเป็นเป็นคนดี แต่สังคมส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย
และการจะให้คนๆหนึ่งเป็นคนดีนั้น ไม่ใช่ให้มานับอิสลามแล้วเขาจะเป็นคนดี แต่จะเป็นคนดีได้ด้วยนั้นจะต้องสร้างเขา เตรียมความพร้อมสู่การเป็นมนุษย์ที่ดีคนหนึ่งบนโลกนี้ การสร้างความพร้อมเช่นนี้เราเรียกว่าให้การศึกษา Education หรือ التربية
التربية (อัตตัรบียะฮฺ) แม้คำนี้จะไม่มีบันทึกในอัลกุรอาน ไม่มีในหะดีษ แม้แต่ในตำราของบรรดานักวิชาการรุ่นเก่าก็ไม่มี แต่ความหมายของคำนี้อิสลามไม่เคยปฏิเสธเลยว่าต้องกระทำ
التربية คือ การดูแลให้เจริญงอกงามตามที่ควรจะเป็น เมื่อต้องการให้คนเป็นคนดีก็ต้องดูแลคนๆนั้นให้เจริญงอกงามตามที่หวังไว้ ด้วยวิธีการที่ควรจะกระทำ
โบราณก่อนเก่า นักปราชญ์เขานั่งคิด(Armchair method))ตามความสามารถทางปัญญาที่พระเจ้าประทานให้ ว่าถ้าจะให้คนเป็นคนดีต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้
คนรุ่นหลัง ได้วิธีการดูแลคนให้เจริญงอกงามเป็นคนดี ตามวิธีการที่เขาสังเกต ทดสอล ทดลอง และลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ เมื่อพบว่าไม่ได้ผลก็จะผลัดเปลี่ยนใช้วิธีการใหม่ จนบางครั้งเราตามไม่ทันเลยว่าวิธีการที่ถูกต้องจริงๆ นั้นต้องเป็นอยางร
แต่มุสลิมมีหลักเกณฑ์ชัดเจน มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะเมื่อมนุษย์เราอัลลอฮฺสร้าง อิสลามเป็นวิถีชีวิตที่อัลลอฮฺกำหนด ศาสนฑูตมุฮำมัดคือคนที่มาสอนการดำรงชีวิตที่ถูกต้องตามที่อัลลอฮฺต้องการ และเป็นแบบอย่างการมีชีวิต แบบอย่างการสร้างคนให้เป็นคนดีอย่างสมบูรณ์พร้อม ดังนั้นหลักการหรือวิธีการสร้างคนให้เป็นคนดีนั้นไม่ควรที่จะไปเอาจากการคิดขึ้นของคน หรือจากการลองผิดลองถูก
อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
"เรามิได้ให้บกพร่องแต่อย่างใดในคัมภีร์(อัลกุรอาน)" (อัลกุรอาน : อัล-อันอาม 38)
และท่านศาสนฑูตมุฮำมัด(ศ็อลฯ)ได้กล่าวว่า ...
"تركت فيكم أمرين لن تضلوا ما تمسكتم بهما : كتاب الله وسنة نبيه"
ความว่า "ฉันได้ทิ้งแก่พวกเจ้าสองอย่าง พวกเจ้าจะไม่หลงทางเลยถ้าพวกเจ้ายึดกับสองอย่างนี้ คือ คัมภีร์ของอัลลอฮฺ(อัลกุรอาน)และแนวทางของศาสนฑูตของพระองค์"
เมื่ออัลกุรอานและหะดีษนบีได้ยืนยันเช่นนี้ ก่อนที่เราจะไปดูแลหรือเสริมสร้างลักษณะของบุคคลเป็นคนดีด้วยวิธีการอื่น เราควรจะไปศึกษาแลหาวิธีการนั้นจากอัลกุรอานและหะดีษนบีก่อน
แน่นอน เมื่อคนๆหนึ่งยอมรับอิสลามเป็นแนวทางการดำรงชีวิต และถูกอบรมสั่งสอนด้วยวิธีการที่ถูกต้องตามหลักที่อิสลามต้องการ คนๆนั้นก็จะเป็นคนดี และเมื่อเป็นกันหลายๆคน หรือมุสลิมทุกคน มุสลิมก็จะเป็นประชาชาติที่ดียิ่ง (خير الأمة) ตามที่อัลกุรอานได้บันทึกไว้
แวะมาเรียนรู้ครับ...หากการให้การศึกษาอิสลามอย่างถูกวิถีจริงๆ
การจะกล่าวว่า "มุสลิมเป็นคนดี" มันก็จะไม่ไกลความจริงครับ
อ.
กฏหรือคำสอนของแต่ละศาสนานั้นย่อมจะไม่เหมือนกัน
มีความแตกต่างกันไปตามความรู้มาก - น้อย - กว้าง - แคบ ของแต่ละศาสดาที่เป็นผู้สั่งสอนในศาสนานั้นๆ
แต่ทว่ากฏแห่งธรรมชาติแล้วไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ทำดีได้ดี - ทำชั่วได้ชั่ว แน่นอน อันนี้ไม่เกี่ยวกับศาสนา
ศาสนาจะสอนกันไปอย่างไรก็แล้วแต่เถอะ แต่กฏแห่งธรรมชาติจะต้องเป็นอย่างนี้เท่านั้น ไม่เป็นอื่นไปจากนี้
และไม่ว่าศาสนา - เชื้อชาติไหน
ตากแดดมันก็ร้อนเหมือนกัน - เข้าร่มมันก็เย็นเหมือนกัน - กินเกลือมันก็เค็มเหมือนกัน - กินพริกมันก็เผ็ดเหมือนกัน
พบเจอกับสิ่งที่ชอบใจมันก็ดีใจเหมือนกัน - พลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักมันก็โศกเศร้าเหมือนกัน ฯลฯ
และนี่คือตัวอย่างคำสอนของพระศาสดาเรื่องคนต่างศาสนาทำบาปก็ไปนรกที่เดียวกัน
เล่ม 36 หน้า 512
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นิครนถ์. . . สาวกนิครนถ์. . .ชฏิล. . .ปริพาชก. . .เดียรถีย์พวกมาคัณฑิกะ. . .
พวกเตทัณฑิกะ. . .พวกอารุทธกะ. . .พวกโคตมกะ. . .พวกเทวธัมมิกะ. . .ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ
ย่อมเกิดในนรกเหมือนถูกนำมาโยนลง ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน ? คือ
เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ๑ ลักทรัพย์ ๑ ประพฤติผิดในกาม ๑ พูดเท็จ ๑
ดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เดียรถีย์พวกเทวธัมมิกะประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล
ย่อมเกิดในนรกเหมือนถูกนำมาโยนลง.
นับ เป็นความอดสูอย่างรุนแรง ที่ศาสนาหนึ่งที่ไม่มีแก่นแท้อะไรในศาสนา ถึงกับต้องมากล่าวตู่พระไตรปิฎกทางพระพุทธศาสนา แล้วกล่าวว่า เจอพระนะบีมูหะหมัดในพระไตรปิฎก เอ่ยอ้างอย่างไร้จิตสำนึก ไร้หิริโอตตัปปะ ว่าคำทำนายในพระไตรปิฎกพูดถึง อิสลามด้วย โธ๋ อยากจะมานับถือพุทธก็มากันดีๆ ไหงทำตัวเหมือนอีแอบ ถ้าว่าศาสนาที่ว่านี่้ไม่มีอะไรจะศึกษากันแล้ว จะหันมานับถือ และศึกษาพุทธ ก็ไม่มีใครว่าหรอก แต่ศึกษาให้ถ่องแท้ อย่ามาปลอมปนคำสอน หรือเปลี่ยนคำสอนสนับสนุนฝ่ายตนเลย เป็นการกระทำที่เสียศักดิ์ศรี ไม่น่าสรรเสริญเลย
ธรรมชาติที่คุณ arun [IP: 183.89.175.121] กล่าวถึงในอิสลามเรียกว่า ฟิฏเราะฮฺ
ส่วนที่คุณ an [IP: 183.89.175.121] กล่าวมานั้นผมก็งงๆ แล้วคลิ๊กขึ้นไปดูเนื้อหาที่ตัวเองเขียนก็กล่าวถึงในเรื่องนี้บ้างไหม ก็ไม่เจอ และจำได้ว่าผมไม่เคยอ้างศาสนาพุทธในลักษณะนี้เลย