คราวก่อนเขียนเรื่อง สามีผ่าตัดสมอง เมื่อฉันท้อง 6 เดือน เมื่อ 26 กรกฎาคม 2551 และ หมอนัดผ่าครั้งที่สอง หลังปีใหม่ ถึงวันที่ต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อเตรียมตัวเข้าห้องผ่าตัด 5 มกราคม 2553 แต่ต้องนอนรอจะได้ผ่าก็ต้องวันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม 2553
ความทุกข์และกังวลใจเกิดขึ้นิอีกครั้งเมื่อต้องเข้าไปนอนเตรียงรวมๆกับคนป่วยคนอื่นๆ ทั้งที่ตนเองยังไม่ได้ผ่าตัด ดิฉันดูจากสีหน้าท่าทางของสามี คงอึดอัดและกังวลเต็มที่ ช่วงกลางวันก็จะมีญาติๆของแต่ละเตียงมายืนถามไถ่ ดูอาการของคนไข้ไม่ได้ขาดคม่า ยอมรับว่าวันนั้นคนไข้คงมากเป้นพิเศษ เพราะขาดเตียงแทรก 10 กว่าเตียง ยังไม่มีเตียงไหนว่างเลย เตียงในห้องศัลยกรรมชายอีก 30 กว่าเตียง ห้องพิเศษอีก ถ้าเทียบกับพยาบาลที่ขึ้นเวร พร้อมผู้่ช่วย ไม่เกิน 7 คน ก็นับว่ามากๆเลยทีเดียว
ส่วนมากจะเป็นอุบัติเหตุแล้วมาผ่าตัดมีทั้งอาการหนักและพักฟื้นรอกลับบ้าน แต่ยังไงก็ตามคนธรรมดาอย่างเรา (หมายถึงไม่ได้เป็นหมอหรือพยาบาลที่เห้นทุกๆวัน) ก็นับว่าเป้ฯเรื่องที่ซีเรียสพอสมควร ดิฉันนั่งรออยู่ข้างเตียงบ้าง หน้าระเยบียงบ้าง เพราะไม่รู้จะทำอะไรได้มากกว่านั้น บางเตียงพอแม่เจ็บป่วยลูกคอยดูแล แต่เห้นจะมากกว่าก็คือ พ่อ แม่ดูแลลูก ดิฉันได้ลองพิจารณามองดูเตียงโน้นเตียงนี้ก็พลอยนึกอะไรไปหลายๆ อย่างนอกจากคนป่วยที่ต้องมีความเจ็บ ความปวด คนเฝ้าก็คงเป็นทุกข็และไม่สบายใจ
โดยเฉพาะห้องรวม ไม่ต้องพูดถึงสภาพของคนเจ็บข้างเตียงก็ชวนให้เป็นกังวล และกลัวๆไปด้วยก็มีบางคนหลายคืนวันแล้ว แต่ยังไม่รู้สึกตัวเลย มีเพียงเสียงลมหายใจผ่านเครื่องมือของหมอ บางคนครวญครางด้วยความเจ็บปวด นึกดูว่าไปอยู่เพียงคืน 2 คืนเรายังรู้สึกเครียดเหมือนกัน แล้วคนป่วยจะขนาดไหน
ยังไงก็ตามน้ำใจของญาติๆผู้ป่วยก็ยังหยิบยื่นให้ ทั้งรอยยิ้ม คำถามด้วยความสงสัย หรือ อยากรู้ ก็ล้วนแล้วแต่ทำให้เรารู้สึกไม่อ้างว้างมากนัก บางครั้งก็เรียกกินข้าว แบ่งปันผลไม้ ขนม นม น้ำ เท่าที่จะให้กันได้.....นี่แหละนะคนไทย ยังไงก็ยังมีรอยยิ้มและมิตรภาพสมกับชื่อว่า เมืองสบายมจริงๆ
พอถึงค่ำคืนมาหลังจากหมดเวลาเยี่มแล้วบรรยากาศก็เงียบเหงาลง บางคนอดหลับนอนไม่ไหวก็ไม่อาจทิ้งให้ผู้ป่วยอยู่คนเดียวได้ ที่เดียวที่เราจะพักสักงีบเอาแรงไว้ดูแลกันวันใหม่ ก็คือพื้นที่แคบๆ ใต้เตียงคนไข้นั่นเอง
หลายคนอาจจะมองว่ามันรู้สึกรันทดใจ แต่เมื่อมันไม่ไหวแล้ว ง่วงเต็มที่แล้วทุกๆอย่างก็ไม่อาจจะบังคับตัวเองให้ยืนหรือนั่งต่อไปอีก
ทำให้ดิฉันเองคิดว่า ท้ายสุดแล้วชีวิตของคนเราก็ไม่ได้แตกต่างกันมากมาย คนรวย คนจน คนดี คนชั่ว มีหน้าที่การงานที่แตกต่างกัน หรือจะอยู่ชนชั้นไหน สุดท้ายทุกคนก็ไม่อาจหลีกหนีความเจ็บ ป่วย ความแก่ ความตาย ไปได้.....ดิฉันจึงได้คิดเห็นว่า ชีวิตของคนเรานั้นมีค่าก็อยู่ที่ตรงความดี
..........หากชีวิตต้องดับม้วยยังมีอานิสงคืแห่งความดีคำชู .........
เป็นกำลังใจให้นะค่ะ ตอนนี้สามีคครุกุลออกโรงพยาบาลหรอืยังเอ่ย สู้ๆๆนะค่ะ
สวัสดีค่ะPikulเพิ่งกลับจากกาญจนบุรีค่ะ..เลยแวะมาเยี่ยมคนป่วยครูศิลปะที่รักของPikulและลูกก่อนค่ะ..ขอให้หายไวๆเป็นขวัญและกำลังใจของครอบครัวตราบนานแสนนานนะคะ..