การสังเกต ( Observe
)
การสังเกตเป็นการประเมินตามสภาพจริง ( Authentic Assessment )
ครูผู้ทำวิจัยจะต้องเตรียมเครื่องมือสำหรับการสังเกตให้พร้อมเพื่อที่จะทำการวิจัยในชั้นเรียนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
ผู้เขียนได้กำหนดเนื้อหาสำหรับการสังเกตไว้ดังนี้
3.1 การเก็บรวบรวมข้อมูล
( Collect data )
3.2 การวิเคราะห์ผล ( Analyze data
)
3.1
การเก็บรวบรวมข้อมูล ( Collect data
)
การเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยในชั้นเรียนมีหลายวิธี
ครูผู้ทำวิจัยในชั้นเรียนจะต้องศึกษาข้อดีและข้อเสียของเครื่องมือที่จะใช้เก็บรวบรวมข้อมูลให้ดีเพื่อจะได้เลือกเก็บข้อมูลได้อย่างถูกต้อง
และมีประสิทธิภาพมากที่สุด
การเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยในชั้นเรียนมีดังนี้
1. การจดบันทึก
( Field note )
ครูผู้ทำวิจัยในชั้นเรียนบางคนจดบันทึกหลังการสอน
บางคนจดบันทึกระหว่างการสอน
การจดบันทึกจะจดบันทึกตามความรู้สึกของผู้สอนว่าพฤติกรรมในชั้นเรียนเป็นอย่างไร
พฤติกรรมของนักเรียนที่ปรากฏออกมาครูผู้วิจัยมีความพอใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่กิจกรรมใดที่ควรแก้ไข
ปัญหาที่นักเรียนไม่เข้าใจคืออะไร
มีกิจกรรมใดที่ดีอยู่แล้วและดีอย่างไร
การจดบันทึกจะเป็นประโยชน์แก่ครูผู้ทำวิจัยเพราะการจดจะดีกว่าการจำ
จะทำให้มีหลักฐานที่เป็นระบบสามารถตรวจสอบได้
-
ตัวอย่างการจดบันทึก
ครูผู้สอนภาษาอังกฤษได้สอนเรื่อง
Have / Get something done
ครูผู้สอนได้บันทึกไว้ว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1
ยังสับสนเรื่องของการเปลี่ยนกริยาเป็นช่องที่ 3 เช่น go
นักเรียนไม่สามารถเปลี่ยนเป็น gone ได้
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/2 ไม่สามารถเปลี่ยนคำว่า make
เป็น made ได้ นักเรียนชั้น ม.6/1และ ม.6/2
ตั้งใจเรียนดี การออกเสียง( pronunciation ) นักเรียนยังออกเสียงกริยาช่องที่
3 บางคำไม่ถูกต้อง
2.
บันทึกประจำวันของนักเรียน (
Pupil’s diaries )
ครูผู้สอนให้นักเรียนจดบันทึกหลังการเรียนประจำวัน
การจดบันทึกจะเป็นเครื่องมือให้นักเรียนแสดงความรู้สึกต่อเรื่องที่เรียนว่าส่วนไหนนักเรียนเข้าใจและส่วนไหนนักเรียนไม่เข้าใจ
เพื่อครูผู้ทำวิจัยจะได้แก้ไขบทเรียนของตนเองได้
การจดบันทึกประจำวันจะช่วยเหลือให้นักเรียนแสดงความรู้สึกออกมา
บางครั้งนักเรียนไม่กล้าถามคำถาม
ถ้าให้นักเรียนเขียนปัญหาที่ไม่เข้าใจลงในสมุดบันทึกประจำวันก็จะช่วยให้นักเรียนถามปัญหาแก่ครูผู้สอนได้
3. แฟ้มสะสมงาน ( Portfolio
)
แฟ้มสะสมงานจะเป็นตัวบ่งชี้ว่านักเรียนมีการพัฒนาในด้านการเรียนอย่างไร
แฟ้มสะสมงานเป็นการประเมินผลงานแบบใหม่ เป็นการประเมินตามสภาพจริง (
Authentic Assessment )
ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการปฏิรูปการศึกษาจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ครูผู้ทำวิจัยสามารถประเมินผลการเรียนของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง
4. การสังเกต ( Observation
) ครูผู้ที่ทำวิจัยอาจใช้แบบสังเกตการสอน เช่น
แบบสังเกตการพูดของครู ( Teacher’s talk ) แบบสังเกตการใช้คำถามของครู (
Teacher’s question )
หรือพฤติกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน
ครูผู้ทำวิจัยอาจสังเกตการสอนเองหรือให้เพื่อนร่วมงานสังเกตให้ก็ได้ ( Peer Observation )
ถ้าให้เพื่อนร่วมงานสังเกตการสอนจะต้องตกลงกันก่อนว่าจะให้สังเกตตรงจุดใด
ใช้แบบสังเกตแบบใด
ครูผู้ทำวิจัยจะต้องเตรียมการให้พร้อมและมีระบบ
ถ้าครูผู้ทำวิจัยให้เพื่อนร่วมงานสังเกตการสอนจะทำให้สะดวกในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพราะไม่ต้องกังวลและสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆได้อย่างครบถ้วนอีกด้วย
5.
การบันทึกเสียง ( Tape
recordings )
การบันทึกเสียงเป็นวิธีการที่ประหยัดและง่ายต่อการรวบรวมข้อมูล
ครูผู้ทำวิจัยสามารถรู้ได้ว่าเกิดพฤติกรรมใดบ้างจากการถอดเทปเสียง
แต่การบันทึกเสียงมีข้อเสียคือไม่สามารถบันทึกพฤติกรรมที่นักเรียนแสดงท่าทางโดยไม่ใช้เสียงไว้ได้
การบันทึกเสียงถ้าเป็นวิชาภาษาไทยหรือวิชาภาษาอังกฤษโดยให้นักเรียนฝึกทักษะการพูด
ครูผู้ทำวิจัยจะรู้ว่านักเรียนพูดเป็นอย่างไรบ้าง
ครูผู้ทำวิจัยใช้คำถามแบบใดถามนักเรียน
นักเรียนตอบว่าอย่างไรเป็นต้น
6.
การใช้วีดีทัศน์ ( Video
tape recorder )
วีดีทัศน์สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนได้ทุกขั้นตอนและมีความเที่ยงตรงของข้อมูลค่อนข้างสูง
นักเรียนอาจวอกแวกหรือเกิดอาการเกร็งจากการที่ครูผู้ทำวิจัยใช้วีดีทัศน์ในชั้นเรียนก็ได้
ดังนั้นครูผู้ทำวิจัยควรให้นักเรียนในชั้นคุ้นเคยกับการตั้งวีดีทัศน์ในชั้นเรียนเสียก่อนจะทำให้ครูผู้ทำวิจัยเห็นพฤติกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนจริงๆ
7. แบบสอบถาม ( Questionnaires )
ผู้เขียนแบ่งแบบสอบถามที่ใช้ในชั้นเรียนไว้เป็น 2 ชนิดคือ
7.1 แบบสอบถามปลายเปิด (
Open-ended questionnaires
)เป็นแบบสอบถามที่ถามข้อมูลและความคิดเห็นของผู้ตอบเอง
เป็นแบบสอบถามที่ยากแก่การเก็บข้อมูลและแปลผลข้อมูลแต่มีข้อดีคือ
จะให้ข้อมูลที่เกี่ยวกับความคิดเห็นได้ดี
เช่นต้องการอยากรู้ว่านักเรียนเข้าใจเรื่องที่เรียนหรือไม่อาจถามง่ายๆ
7.2 แบบสอบถามปลายปิด (
Close-ended questionnaires )
เป็นแบบสอบถามที่มีตัวเลือกให้ตอบ
( Multiple - Choice
)
8.การสัมภาษณ์ (
Interviews )
การสัมภาษณ์เป็นวิธีการที่ง่ายมากสำหรับการเก็บข้อมูล
ครูผู้ทำวิจัยควรวางแผนว่าจะสัมภาษณ์นักเรียนในเรื่องใดที่เกี่ยวกับการเรียนการสอน
การสัมภาษณ์ไม่ควรใช้เวลาให้มากนัก
ครูผู้ทำวิจัยอาจใช้การสัมภาษณ์ที่ไม่เป็นทางการโดยสัมภาษณ์กับนักเรียนกลุ่มเล็กๆว่ามีปัญหาอะไรบ้าง
มีการเปลี่ยนแปลงอะไรในชั้นเรียนที่ครูผู้ทำวิจัยทำขึ้น
การได้พูดคุยกับนักเรียนบ่อยๆจะทำให้นักเรียนในชั้นคุ้นเคย
นักเรียนจะกล้าพูด กล้าแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียนมากยิ่งขึ้น
ครูผู้ทำวิจัยสามารถนำผลการสัมภาษณ์มาใช้ในการอภิปรายผลได้
สรุป
การใช้เครื่องมือสำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูล
ครูผู้ทำวิจัยต้องเลือกเครื่องมือสำหรับการเก็บข้อมูลให้เหมาะสมกับการวิจัยในชั้นเรียนนั้นๆ
การเก็บรวบรวมข้อมูลอาจใช้การจดบันทึก
บันทึกประจำวันของนักเรียน แฟ้มสะสมงาน การสังเกต
การบันทึกเสียง การใช้วีดีทัศน์
แบบสอบถามและการสัมภาษณ์การใช้เครื่องมือที่จะเก็บรวบรวมข้อมูลควรให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจเสียก่อนว่ามีความเที่ยงตรงของข้อมูลหรือไม่เมื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจแล้วควรนำมาปรับแก้ไขแล้วจึงนำไปใช้
ครั้งต่อไปเป็นการวิเคราะห์ผล ( Analyze data ) อยากได้ข้อมูลย้อนกลับว่า ยากกินไปไหมครับ...ที่คุณครูจะทำวิจัยในชั้นเรียน
เขียนเรื่องเก่าเรื่องเดิม เป็นเนื้อหาสาระดีจังเนาะ
สามารถใช้ประโยชน์ได้จริงๆ ขอแบบไร้สาระแต่ผ่อนคลายได้มั้ยคะ คุณขจิต
อยากได้ข้อมูลการทำแฟ้มสะสมงานครับ
ได้ความรู้ดีมากเป็นประโยชน์
ตอนนี้กำลังทำวิจัยในโรงเรียน
อยากได้แบบสังเกตการสอน;การนิเทศแบบคลินิก
ขอบคุณมากค่ะสำหรับความรู้
ขอบคุณมากคับสำหรับความรู้ ที่มอบให้คับ
สวัสดีค่ะ อาจารย์
ลูกศิษย์คนนี้คิดถึงอาจารย์นะค่ะ
รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ
รักและเคารพ
งานดีมากมายค่ะ
ได้รับความรู้มากและได้นำไปใช้จริง ๆ