เหตุใดการให้อภัยจึงเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่?


"การปล่อยวาง ตัวตน หรือ อัตตา ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าที่ใครมาทำอะไรกับเรานั้นเป็นการทำอะไรกับตัวกูของกูอีกต่อไป"

ผมไปตรวจตาข้างขวาที่รู้สึกมัวลง ก่อนหน้านั้น ผมพยายามแก้ไขผ่านร้านตัดแว่นมาหลายเดือนไม่ได้ผล หมอตาบอกว่า ความดันในลูกตาผมสูงกว่าค่าปกติมาก คนปกติควรจะมีค่าไม่เกิน 20 (มิลลิเมตรปรอทต่อพื้นที่เท่าไรไม่ทราบ) แต่ของผมขึ้นไปถึง 30 กว่า ความดันในลูกตาที่สูงขึ้นไปกดประสาทตาให้ค่อยๆ เสื่อมลง หลังจากตรวจลานสายตา (Visual field) ด้วยคอมพิวเตอร์แล้วปรากฏว่าตาขวาผมเหลือพื้นที่ลานสายตาที่รับภาพได้อยู่เพียง 50% แปลว่า ตาขวาบอดไปแล้วครึ่งหนึ่ง อาการนี้เรียกว่า “ต้อหิน” ซึ่งส่วนที่บอดไปแล้วก็บอดไปเลย การรักษาก็คือรักษาส่วนที่ยังดีไว้ไม่ให้ลุกลามต่อไป ซึ่งเมื่อรู้แล้วก็รักษาได้

ความดันในลูกตาสูงขึ้นมีเหตุมาจากท่อระบายน้ำในลูกตาอุดตันหรือไหลออกไม่สะดวก ทำให้ปริมาณน้ำ(หรือของเหลว)ในลูกตาที่ไหลเข้าและไหลออกไม่สมดุล ที่แผนกจักษุ ของโรงพยาบาลมีโปสเตอร์เขียนว่าคนอายุ 45 ขึ้นไปควรไปตรวจตาปีละครั้ง เพราะโรคนี้หากรู้แต่เนิ่นๆ สามารถป้องกันไม่ให้ลุกลามได้ด้วยการใช้ยาหยอดตา เพื่อลดระดับความดันในลูกตา หากหยอดตาแล้วความดันยังไม่ลดลงถึงระดับที่ปลอดภัย ก็ต้องยิงเลเซอร์ทะลุทะลวงทางไหลของน้ำออกจากลูกตา หากยิงเลเซอร์แล้วยังไม่ได้ผลก็ต้องผ่าตัด (เพื่อรักษาตาส่วนที่เหลือไว้)

ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เริ่มรักษาด้วยยาหยอดตา ปรากฏว่าหยอดยาตัวแรกแล้วความดันลดลงได้เพียงระดับหนึ่ง ลงมาอยู่ที่ประมาณ 25 จำเป็นต้องหยอดอีกตัวร่วมด้วยเพื่อให้ลงมาต่ำกว่า 20 ผมเริ่มหยอดยาตัวที่สองเย็นวันที่ 30 ธ.ค.52 ตกกลางคืนปรากฏมีเส้นเลือดฝอยขึ้นในตาขาวเต็มไปหมด ตาขวาแดงก่ำ แต่ยังดีที่ตื่นนอนตอนเช้าค่อยทุเลาลง ตอนเที่ยงได้ไปหาหมอตาอีกคนที่รู้จักกัน หมอตาคนนี้วันสิ้นปีไม่ไปไหน หมอบอกว่าเป็นผลข้างเคียงของยาหยอดตาตัวที่สอง หมอหยอดยาแก้แพ้ให้แล้วตาก็ขาวขึ้น พร้อมให้ยาตัวใหม่ที่บอกว่าตัวนี้คนทั่วไปแพ้น้อยกว่า ผมก็ลองเอามาหยอดดู ปรากฏว่าดีขึ้นจริงๆ ไม่มีอาการตาแดงอย่างยาตัวเดิมอีก มีเป็นสีชมพูขึ้นเรื่อๆ บ้างหลังหยอด แต่ไม่กี่ชั่วโมงก็หายไป

อาการตาแดงคืนนั้น ทำให้ผมนอนไม่หลับไปหลายชั่วโมงเหมือนกัน แต่เมื่อคิดได้ว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา และหากตาข้างขวามีอันต้องบอดไป เราก็ยังเหลือข้างซ้ายอีกตั้งข้างหนึ่ง มีคนหลายคนที่เขามีตาข้างเดียวก็ยังใช้ชีวิตแบบคนปกติได้ ... แล้วก็รู้สึกว่า คิดไปเองอีกแล้ว ตาขวาเรา ณ ปัจจุบัน ยังมองเห็นอยู่นี่นา จึงหลับไปได้

เรื่องตาแดงคืนนั้น ทำให้ผมเกิดความคิดขึ้นมาว่า หากตาขวาผมต้องบอดไป ผมจะโทษใครหรือไม่? แล้วก็ตอบตนเองว่า เราไม่โทษทั้งตนเองและคนอื่น ความผิดพลาดไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือประมาทเกิดขึ้นได้ และทุกอย่างก็เป็น “กระบวนการเรียนรู้” ของทุกคนทุกฝ่าย ทุนคนได้เรียนรู้หมด หมอก็ทำด้วยเจตนาดี ด้วยความปรารถนาให้เราพ้นทุกข์ (ความกรุณา) อย่างแน่นอน แต่พยาธิสภาพของคนไข้แต่ละคนใช่จะเหมือนกัน กระบวนการรักษาแต่ละรายจึงเป็นกระบวนการเรียนรู้ของทั้งคนไข้และหมอ ตอนรับยา เภสัชกรห้องยาก็ถามว่าเคยแพ้ยาอะไรหรือเปล่า การใช้ยาหยอดตาเป็นเรื่องใหม่สำหรับผม จึงตอบไปว่า ไม่เคย ผมเองยังไม่รู้(จนกว่าจะลอง) แล้วคนอื่นจะรู้ได้อย่างไร

เรื่องนี้ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า การให้อภัยเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ เพราะ

  1. เป็นการปล่อยวาง “ตัวตน” หรือ “อัตตา” ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าที่ใครมาทำอะไรกับเรานั้นเป็นการทำอะไรกับ “ตัวกูของกู”
  2. เป็นการปล่อยให้ "ความเมตตา" อันเป็นคุณธรรมที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจมนุษย์ทุกคน รวมทั้งผมด้วย ได้แสดงบทบาทขึ้นมาผลักดันความเห็นแก่ตัว(กูของกู)ออกไป
  3. เป็นการให้ “ความรัก” อย่างไม่มีเงื่อนไขต่อตนเองและผู้อื่นอย่างแท้จริง

สุรเชษฐ เวชชพิทักษ์
4 มกราคม 2553

หมายเลขบันทึก: 324887เขียนเมื่อ 4 มกราคม 2010 08:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 11:46 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

การให้อภัยเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่

อภัยได้เป็นบางครั้งค่ะ"อาจารย์สุรเชษฐ์"

แต่บ่อยครั้งโกรธ ก่อนคิดได้

ที่สุดของการให้..คือการให้อภัย เหมือนที่พระท่านกล่าวว่า "ให้อภัย ไร้กังวล"

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท