• ผมน่าจะเดินทางมากรุงเทพราวๆ กลางเดือนเมษายน 2500 โดยทางรถไฟ มาลงที่สถานีรถไฟบางกอกน้อย แล้วนั่งเรือจ้าง (เป็นเรือแจว) ข้ามฟากมาฝั่งท่าพระจันทร์ ลุงตำรวจพาผมขึ้นรถเมล์โดยมีกระเป๋าเดินทางใบโตขึ้นไปด้วย ดูเด็กกระเป๋ารถเมล์จะตกใจไม่น้อย ที่มีคนหิ้วกระเป๋าใบโตขึ้นรถเมล์ ที่หมายของเราคือซอยพุทธโอสถ ตรงข้ามไปรษณีย์กลาง เพื่อไปหาอาสมบูรณ์ที่บ้าน โดยผมถือจดหมายของพ่อฝากฝังให้อาช่วยดูแลผมด้วย อาตกใจมากเพราะไม่คิดว่าอยู่ๆ ผมจะขอมาอยู่ด้วยเช่นนี้ ก็พาผมขึ้นรถไปส่งที่คลินิกชื่อ แพทยาศรม ที่เจริญผล ที่นั่น มีอาตุ๊ พี่วิชา และพี่วิรัช อาศัยอยู่แล้ว
• อาหมออนันต์กับอาสมบูรณ์มีลูก 4 คน เรียนอยู้โรงเรียนฝรั่งทั้งสิ้น คือลูกชายเรียนที่อัสสัม ท่านบอกว่าไปฝากอัสสัมไม่ได้หรอก เขาคงรับไม่ได้ ไปเรียนที่ปานะพันธุ์ก็แล้วกัน สอนแนวเดียวกับอัสสัมและเซ็นคาเบรียล ท่านพาผมไปสมัคร ทางโรงเรียนดูสมุดพกที่แสดงผลการเรียนของผมแล้วบอกรับ โดยเรียกเงินแป๊ะเจี๊ยะ 2,500 บาท ค่าเล่าเรียนเทอมแรก 650 บาท เทอมที่สองและสาม เทอมละ 300 บาท ดูท่านอาจารย์เรียว โรจน์เสรี อาจารย์ใหญ่ ที่เป็นฝรั่งที่พูดไทยชัด จะไม่ค่อยไว้ใจผมเท่าไรว่าจะมาเรียนกับเด็กชาวกรุงได้ทันหรือไม่
• ก่อนหน้าจะไปสมัครที่โรงเรียนปานะพันธุ์วิทยา พี่วิรัชกับพี่วิชาคงจะเห่อน้องน่าดู รีบพาไปซื้อรองเท้าหนัง ว่าอยู่กรุงเทพต้องสวมรองเท้าหนัง ยี่ห้อแบแรตราคา 170 บาท สีน้ำตาล เป็นครั้งแรกที่ผมสวมรองเท้าหนัง รุ่งขึ้นพี่วิชาซึ่งเรียนอยู่ที่คณะวิศว จุฬา ก็ชวนไปเที่ยวจุฬา นับเป็นครั้งแรกที่ผมสวมรองเท้าหนังเดิน พี่วิชาพาเดินเที่ยวทั่วจุฬา ผมกลับมาเท้าพองยับเยิน เพราะรองเท้ากัด
• พอไปสมัครเข้าโรงเรียนปานะพันธุ์ จึงรู้ว่าเครื่องแบบนักเรียนเป็นกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน เสื้อขาว ปักอักษรย่อของโรงเรียนว่า ป.พ. ข้างล่างจาก ป.พ. เป็นหมายเลขประจำต้วนักเรียน ผมจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า 1137 และรองเท้าสีดำ ผมก็ต้องไปซื้อรองเท้าหนังใหม่อีกคู่หนึ่งที่เป็นสีดำ ยี่ห้อเดิมทรงเดิม ลงท้ายผมต้องโดนรองเท้ารุมกัดถึงสองคู่
• ทางโรงเรียนมีรถรับส่งนักเรียนจากสถานีเล็กๆ ตรงสนามเป้า ไปส่งที่โรงเรียน ซึ่งอยู่ไกลมากที่ลาดพร้าวตอนเช้า 3 เที่ยว เที่ยวเช้าสุดออกเวลา 7.00 น. ผมมาขึ้นเที่ยวนี้ทุกวันเพราะเด็กไม่แน่น
• วันแรกพอเข้าชั้นเรียนเพื่อนนักเรียนเก่าก็กระเซ้าเพื่อนนักเรียนผู้หญิงที่เดินเข้าห้องทีหลังว่า “โอ้โฮไม่ได้เจอกันนานนมโตเป็นกอง” โปรดลองเว้นวรรคต่างกันสองแบบดูนะครับ ว่าความหมายมันต่างกันแค่ไหน นี่เป็นครั้งแรกที่ผมอยู่โรงเรียนแบบสหศึกษา ที่นักเรียนหญิงชายเรียนปนกัน ผมไม่กล้าพูดกับเพื่อนผู้หญิงเลยตลอดปี
• ผมตกใจมากที่เพื่อนๆ เรียกครูลับหลังว่าไอ้ ไอ้แป๊ด ไอ้มหาเก่า ไอ้มหาใหม่ แต่มีอยู่สองคนที่ไม่โดนเรียกไอ้ คือมาสเซ่อร์เรียว กับมาสเซ่อร์มิน ตามปกติต่อหน้าครูนักเรียนจะเรียกครูผู้ชายว่ามาสเซ่อร์ เรียกครูผู้หญิงว่ามิส
• เพื่อนๆ กว่าครึ่งห้องเป็นทโมนทั้งนั้น เอาแต่หวีผม และอวดกางเกงรัดรูป คือเขาเป็นหนุ่มกันแล้ว
• ผมไม่ค่อยกล้าพูด เพราะเกรงทองแดงร่วง ต้องค่อยๆ หัดพูด ที่ยากคือการฝึกพูดให้ช้าและเสียงนุ่ม วรรณยุกต์ถูกต้อง ผมใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 ปี จึงพูดภาษากลางได้อย่างเป็นธรรมชาติ
วิจารณ์ พานิช
๒๕ พค. ๔๙