หลากหลายแต่ไร้ความขัดแย้ง


อยากตั้งคำถามว่า ในโลกโลกาภิวัฒน์ที่สื่อและข่าวสารรวดเร็วเช่นนี้ ทำไมความเข้าใจกันของคนจึงผิดเพี้ยนไปจากเดิมทั้งที่น่าจะเข้าใจได้มากกว่านี้

  

 

         เมื่อเติบใหญ่ขึ้นผู้เขียนแปลกใจเป็นอย่างยิ่งว่าทำไมความแตกแยกต่าง ๆ ในสังคมบ้านเมืองของเราจึงรู้สึกถ่างกว้างออกมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งที่สิ่งเหล่านี้มีน้อยมากในอดีต มีสิ่งใดที่ทำให้ความรู้สึกถึงความแตกต่าง ระหว่างคนที่อยู่ในประเทศไทยได้มากขนาดนี้

             ผู้เขียนเติบโตในรอยต่อของวัฒนธรรมไทย - มาเลย์ -และจีน บริเวณพื้นที่อำเภอจะนะ อำเภอเมือง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาซึ่งมีวัฒนธรรมหลากหลายและใกล้ชิดกันระหว่างชาวไทยพุทธ      มุสลิมพูดมาเลย์  มุสลิมพูดไทยใต้ ชาวจีนฮกเกี้ยน แต้จิ๋ว และไหหลำ   จำได้ว่าเมื่อผู้เขียนเกิด คนทำคลอดเป็นหมอตำแยมุสลิม ซึ่งทางเขตบ้านผู้เขียนเรียกว่า  โต๊ะบิดัน  ซึ่งทำหน้าทีทำคลอดให้ทั้งคนไทยและมุสลิมไม่มีการแบ่งแยกว่า ศาสนาใครดี หรือศาสนาใครเด่น เมื่อผู้เขียนอายุได้ 3 ขวบ ป่วยเป็นไข้หนักหลายครั้งพ่อแม่จึงแก้เคล็ดด้วยการยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของโต๊ะครู ( พระของมุสลิม ) และทุกปี ที่มุสลิมถือศีลอด ครอบครัวของผู้เขียนก็มักส่งข้าวสาร ไปให้ท่านเสมอ    คุณตาของผู้เขียนนั้นเป็นปราชญ์ชาวบ้าน ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านแต่มีหน้าที่เป็นหมอยาแผนโบราณ ดูดวง สะเดาะเคราะห์  มักจะมีชาวมุสลิม เดินทางมาขอความช่วยเหลือ และขอยาเป็นประจำ       เมื่อถึงหน้าแล้งพี่น้องมุสลิม จะนำปลาแห้ง ปลาหรือกะปิ มาแลกกับข้าวสารที่บ้านคุณตาเสมอ ๆ เนื่องจาก  ไม่ได้ทำนา บ้านเกิดของข้าพเจ้ามักจะมีอาหารทะเลตุนไว้กินตลอดปี    

             คุณตาของข้าพเจ้าเป็นลูกเสี้ยวจีน มีญาติห่าง ๆ ในเมืองบ่อยางสงขลา จึงนำคุณแม่ไปฝากเรียนเย็บผ้าในตัวเมืองเมืองสงขลา คุณแม่ของผู้เขียนจึงมีทักษะในการทำอาหารจีนอร่อยและทำขนมไหว้เจ้าได้ทุกชนิดและสามารถอ่านเขียนได้คล่องแคล่ว ค้าขายเก่ง เมื่อมีการไหว้เจ้าแม่มักจะทำเสมอทุกปี                     

                ในวัยเรียนทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิมเรียนร่วมกันในโรงเรียนวัดโดยไม่ได้รังเกียจซึ่งกันและกัน เจ้าอาวาสวัดและกำนันซึ่งเป็นมุสลิมพุดคุยและเข้าใจกัน ยามมุสลิมมีงานบุญก็จะไปช่วยเหลือ ยามพุทธมีงานบุญมุสลิมก็เมือช่วยเหลือ งานวัด  มีมุสลิมมาดูหนังหนังตะลุง โนรา ในวัด และมีวงดนตรี ที่มีทั้งพุทธ มุสลิมร่วมกันตั้งวง

               ในตลาดแม่ค้ามุสลิมมักมาขายขนมอร่อย ที่ผู้เขียนชอบซื้อ  มีเขียงหมูวางขาย ไม่ห่างกันแต่ไม่ได้แสดงอาการรังเกียจหรือต่อต้าน คนไทยเชื้อสายจีนก็มาเปิดร้านค้าขาย จนกลมกลืนและแต่งงานกับคนไทยบ้าง คนมุสลิมบ้าง   ลูกครึ่งจีนมาเลย์ จะเรียกว่า พวก บ้าบ่ะ หน้าตาสวยดี

                ในบ้านของผู้เขียนเมื่อญาติมุสลิมมีงานบุญก็ไปช่วยเหลือ ยามตรุษจีนก็ไหว้เจ้า ยามบุญไทยสงกรานต์ ก็สนุกสนานด้วยกันทุกศาสนา  เล่นสาดน้ำกันสนุกดี

              เมื่อผู้เขียนกลับบ้าน สาม สี่ปีที่ผ่านมา ภาพอดีตหลายอย่างได้หายไป มุสลิมไม่นิยมไปโรงเรียนวัดอีกแล้ว ต่างคนต่างอยู่ ต่างไป เหมือนไม่รู้จักกัน การพึ่งพากันเหลือน้อยและห่างเหิน

               อยากตั้งคำถามว่า ในโลกโลกาภิวัฒน์ที่สื่อและข่าวสารรวดเร็วเช่นนี้ ทำไมความเข้าใจกันของคนจึงผิดเพี้ยนไปจากเดิมทั้งที่น่าจะเข้าใจได้มากกว่านี้

              หรือเพราะเราดูแต่สื่อกรุงเทพ ฯ หนังสือพิมพ์กรุงเทพ ฯ กันมากเกินไปหรือเปล่า จนเราไม่เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ถูกชักพาไปตามกระแสทุนนิยมอยากได้ไม่สิ้นสุด

 

                                                                      สันติสุข

                                                              26  ธันวาคม 2552

หมายเลขบันทึก: 323314เขียนเมื่อ 26 ธันวาคม 2009 23:17 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 11:37 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

แตกต่างแต่คนพื้นที่ไม่เคยแตกแยกครับ...ชื่นชมครับ

พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)

เจริญพรคุณครูสันติสุข

ขอเชียร์และสนับสนุนให้คุณครูช่วยเขียนเรื่องสร้างสรรค์สิ่งดีงามในอดีตแนวนี้เผยแพร่มาก ๆ

ขอแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคุณครูวันนี้(๒๖ ธ.ค.๒๕๕๒)ดร.วิรัตน์ คำศรีจันทร์ได้เขียนความคิดเห็นตอบกระทู้เรื่องแนวนี้พอดีในเวทีคนหนองบัว คห.๒๘๙ และขอเชิญคุณครูเข้าไปร่วมเสวนาแลกเปลี่ยนแบ่งปันสิ่งดี ๆ กับคนหนองบัวก็ยินดีอย่างยิ่ง อาจารย์วิรัตน์เขียนไว้ดังนี้

"ในสังคมของชุมชนหนองบัวนั้น พวกเราชอบร้องเพลงล้อพระเจ้า และเพื่อนที่นับถือพระเจ้ากับอย่างอื่นที่นอกเหนือจากพุทธศาสนา ก็ทำล้อเลียนพระ แล้วพวกเราก็ผสมผเสไปด้วย ทั้งสนุกและขบขันกันอย่างจริงๆจังๆ

มันไม่ใช่ดูหมิ่น ไม่เคารพนับถือ หรือเห็นเป็นคนละพวก แล้วทำความรุนแรงต่อกันทางวัฒนธรรมและความเชื่อ แต่มันเป็นการแสงออกถึงความเป็นคนร่วมสังคมด้วยกันจนคุ้นเคยย่ำปึ่กถึงกับเล่นกันเองในสิ่งที่เป็นความลึกซึ้งส่วนตนได้อย่างไม่สะเทือนให้แบ่งเขาแบ่งเรา......

....แล้วก็มองออกไปยังสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม ทุกวันนี้เลย รู้สึกเหมือนสังคมของผู้คน นับถือความเป็นเพื่อนมนุษย์ต่อกันน้อยลง..."

อนุโมทนา สาธุ

ขอกราบนมัสการครับ ภาพที่งดงามเหล่านี้ใช่ว่าจะหมดไป สงกรานต์เมื่อปี 51 มีการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ ทั้งมุสลิม และ ไทยพุทธ ในวัดเป็นภาพที่งดงามมากครับ ไม่วา ในใต้ อิสาน เหนือ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติมีมานานแล้ว ผมมีเรื่องเก่า ๆ อยู่บ้างที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครับ

ยามว่าง กระผมจะเข้าไปเยี่ยมเวทีคนหนองบัวครับ

นมัสการด้วยความเคารพ

พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)

ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๓

ขอให้คุณครูสันติสุขและครอบครัวมีความสุขดังบทบาลีที่ว่า เต อัตถลัทธา สุขิตา วิรุฬหา พุทธสาสเน อโรคา สุขิตา โหถะ สหสัพเพหิ ญาติภิ. ขอให้ครอบครัวของท่านพร้อมด้วยหมู่ญาติ จงประสบสุขในสิ่งที่ปรารถนา มีสุขภาวะที่สมบูรณ์ปราศจากโรคภัยและเจริญงอกงามไพบูลย์ในพุทธธรรมตลอดไป เทอญ.

ขอชื่นชมค่ะที่หลากหลายแต่ไร้ความขัดแย้ง

อ่านมาเห็นด้วยนะคะกับข้อคิดของคุณ

สวัสดีปีใหม่คะ

 

เห็นด้วยกับอาจารย์ที่ว่าในโลกโลกาภิวัฒน์ที่สื่อและข่าวสารรวดเร็วเช่นนี้ ทำไมความเข้าใจกันของคนจึงผิดเพี้ยนไปจากเดิม

เมื่อพูดคุยในกลุ่มเล็กๆ ทุกคนล้วนเรียกร้องความสามัคคี ความกลมเกลียว แล้วทุกคนก็บอกว่าความขัดแย้ง ความหลากลายน่าจะมีได้ แต่ควรนำไปสู่ความงอกงาม ทุกคนคิดเหมือนกัน แต่ทุกคน หรือหลายคนอาจจะไม่ได้ทำอย่างที่คิด

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท