สมัยเด็ก ๆ อายุ 14 ขวบผู้เขียนเป็นเด็กชนบทชาวสวน อยู่ท่ามกลางภูเขา ทุ่งนา บังเอิญสอบได้โรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดซึ่งอยู่ห่างไกลจากบ้านหลายสิบกิโลเมตร การเดินทางไปเรียนหนังสือต้องปั่นจักรยานเป็นระยะทาง 8 กิโลเมตร นำจักรยานไปฝากไว้ที่บ้านคนรู้จัก จากนั้นขี่รถโดยสารไปโรงเรียนไป - กลับทุกวัน
บ้านที่ฝากรถจักรยานนี้เองผู้เขียนได้รู้จักชายวัยหนุ่มคนหนึ่ง มีลักษณะพิเศษขาลีบพิการทั้งสองข้างเดินไม่ได้รับจ้างซ่อมนาฬิกาและวิทยุอยูภายในบ้าน ซึ่งผู้เขียนได้พูดคุยและทักทายกับเขาอย่างสนิทสนมตามประสาเด็ก ๆและรู้สึกสงสารเขามากจึงมักนำวิทยุ นาฬิกา มาซ่อมกับเขาบ่อย ๆ และคิดกับเขาในแง่ดี พอรู้จักกันนานเข้าเขามักจะกลายเป็นคนฉุนเฉียวและโมโหง่าย การทำงานมักล่าช้าและผลัดวันประกันพรุ่งจนหลายคนเอือมระอา ค่อย ๆถอยจากเขามาในที่สุด
ด้วยวัยยังเด็กทำให้ผู้เขียนไม่เข้าใจพฤติกรรมและความแตกต่างของมนุษย์ ผู้เขียนจึงได้สอบถามเรื่องราวของเขาจากคุณย่าของผู้เขียน ซึ่งท่านสนิทสนมกับครอบครัวนี้ ท่านเล่าให้ฟังว่า
ตอนที่แม่ของเขาตั้งท้องเขาอยู่นั้น พ่อของเขาซึ่งเป็นหมอยาแผนโบราณได้เข้าไปยิงค่างในป่าเพื่อนำเลือดค่างมาผสมยา ในวันนั้นพ่อของเขาได้ใช้ปืนยิงค่างแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่งตกลงมาจากต้นไม้สูง แม่ค่างเสียชีวิตทันที ส่วนลูกอ่อนของค่างนั้นตกกระเด็นลงมาขาหักทั้งสองข้าง พ่อของเขาได้จัดการเอาเลือดแม่ค่างแล้วจึงนำลูกค่างมาเลี้ยงที่บ้าน ลูกค่างนั้นนำมาเลี้ยงไม่ถึงสิบวันก็เสียชีวิต เพราะเดินไม่ได้และไม่มีนมให้กิน
หลังจากลูกค่างเสียชีวิตได้สามเดือนเขาก็คลอดออกมา ในลักษณะที่ทำให้พ่อแม่ญาติพี่น้องเสียใจเป็นอย่างมาก คือ มีสภาพขาพิการทั้งสองข้าง เมื่อได้เห็นสภาพลูกชายแล้ว พ่อของเขาได้เลิกฆ่าสัตว์นับตั้งแต่บัดนั้น หันมาถือศีลและประกอบกรรมดีชดใช้กรรมของตนตลอดมา
ตอนที่คุณย่าเล่าให้ฟังนั้นผู้เขียนได้เลิกโกรธเขาและรู้สึกสงสารที่เขาต้องมารับกรรมที่บุพการีได้สร้างไว้ และตั้งใจว่าเมื่อเจอเขาจะพูดดีกับเขาดังเดิม
เมื่อนึกถึงอดีตเหล่านี้ ผู้เขียนก็ระลึกได้ว่า นิทานหรือเรื่องราว ที่คุณย่าเล่าให้ฟังก่อนนอนภายใต้แสงตะเกียงน้ำมันก๊าดนั้น ได้ฝังความรู้สึกเกรงกลัวต่อบาปให้ผู้เขียนโดยไม่รู้ตัวและยาวนาน
เป็นอนุสติเตือนให้พวกชอบทำบาปทั้งหลายให้รู้เรื่องบาปบุญคุณโทษคะ
ขอบคุณคะ